เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] นิยาย บท 4

การปรากฏตัวของเจ้าตระกูลรูมันซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นตระกูลผู้พ่ายแพ้จากตะวันออก และบุตรชายคนโตอย่างอาบีน็อกซ์ ส่งผลให้ขุนนางในที่ประชุมฮือฮาเสียงดังเซ็งแซ่

อาบีน็อกซ์ รูมัน ที่ผ่านมาอาจจะพักอยู่ในเมืองหลวงก็จริง แต่เจ้าตระกูลอินดิท รูมันได้ย่างกรายเหยียบเท้าเข้าสู่เมืองหลวงเป็นครั้งสุดท้ายก็ตั้งแต่เมื่อหกปีก่อนโน้น

แน่นอนว่าในบรรดาขุนนางทั้งหลาย มีกระทั่งคนที่มองพวกเขาอย่างไม่พอใจอยู่ด้วยเช่นกัน

“ขอประทานอภัยที่มาสายพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท กระหม่อมยังไม่คุ้นเคยกับเส้นทางในวังหลวงนัก จึงมาสายพ่ะย่ะค่ะ”

“…อืม โล่งอกไปทีนะ ยังไม่สายอะไรหรอก ไปนั่งที่เถอะ”

จักรพรรดิรับสั่งเช่นนั้นสองพ่อลูกจากตระกูลรูมันจึงเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้แถวหน้าที่ยังว่างอยู่ทางฝั่งซ้าย

ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือยังไง ตำแหน่งที่นั่งนั่นดันเป็นตำแหน่งที่นั่งเผชิญหน้าตรงข้ามกับที่นั่งของตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันจากฝ่ายเหนือ ซึ่งนั่งอยู่ทางฝั่งขวาของห้องประชุมพอดิบพอดี

การประชุมเริ่มต้นขึ้นในทันที

“ฎีกาแรกเป็นเรื่องเงินช่วยเหลือการค้าภาคตะวันออกพ่ะย่ะค่ะ”

ก่อนที่ขุนนางผู้รับหน้าที่ดำเนินการประชุมจะทันได้พูดจบ ผู้คนทั้งหลายก็หันไปลอบสังเกตท่าทีของตระกูลรูมัน กับตระกูลไอบันกันทันที

“ไหนๆ ก็มาที่นี่พอดี งั้นก็มาลองฟังกันหน่อยเป็นไง ข้อเรียกร้องของตระกูลรูมันคืออะไรล่ะ”

อินดิท รูมันลุกขึ้นจากที่นั่งเมื่อได้ยินรับสั่งของโยบาเนส แล้วจึงกล่าวข้อเรียกร้องจากฝ่ายตน

“ตระกูลรูมันของพวกเราตอบรับพระบัญชาของฝ่าบาท ที่สั่งให้พวกเราเรียนรู้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมของอาณาจักรอย่างกระตือรือร้นมากยิ่งขึ้น จึงได้เพิ่มการค้าขายกับบุคคลภายนอกให้มากขึ้นพ่ะย่ะค่ะแต่เส้นทางการเดินทางมาจนถึงภาคตะวันออกมันยากลำบากนัก พ่อค้าที่เดินทางมาจึงมีจำนวนไม่มาก ทั้งยังขายสินค้าในราคาที่สูงกว่าขายให้เขตแดนอื่นๆ พ่ะย่ะค่ะ”

เสียงของอินดิท รูมันนิ่งสงบ ทว่าหนักแน่น

“หากทำตามพระบัญชาของฝ่าบาท ตระกูลต่างๆ ทางตะวันออกรวมถึงตระกูลรูมันของพวกเราก็จะต้องแบกรับภาระเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นจึงขอเรียกร้องให้ทางราชวงศ์ให้ความช่วยเหลือในรูปแบบเงินสนับสนุนพ่ะย่ะค่ะ”

ถึงแม้จะกำลังอธิบายข้อเสียเปรียบของตัวเอง แต่กลับไม่แสดงอารมณ์อ่อนไหวเกินควรออกมา

“มีความเห็นใดในเรื่องนี้กันบ้าง”

ก่อนที่จักรพรรดิจะทันได้พูดจบประโยค ดิวอิจ อังเกนัสซึ่งนั่งอยู่ทางฝั่งขวาก็รีบลุกขึ้นจากที่นั่ง แล้วเอ่ยด้วยเสียงดุดัน

“กระหม่อมคัดค้านข้อเรียกร้องนี้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท เงินสนับสนุนการเดินทางค้าขายอย่างนั้นหรือ เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งที่ผ่านมาทางตะวันออกก็ได้รับความช่วยเหลือไปมากพอแล้ว ตอนนี้จึงควรถึงเวลาหยุดได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

และก่อนที่ดิวอิจ อังเกนัสจะนั่งลงบนเก้าอี้ ก็มีเสียงโต้แย้งดังมาจากฝั่งตรงข้าม

“หากพูดถึงผลประโยชน์ที่เคยได้รับ จะมีเขตแดนไหนเทียบกับภาคตะวันตกได้อีกมั้ยล่ะนั่น ไม่คิดเช่นนั้นหรือครับ”

“ว่ายังไงนะ นี่เจ้า!”

ดิวอิจ อังเกนัสถลึงตาจ้องเขม็งด้วยความโมโห ตะเบ็งเสียงดังจนเส้นเลือดปูดขึ้นบนลำคอ

แต่พวกขุนนางฝ่ายซ้ายกลับพ่นลมหายใจทางจมูกเสียงดังหึ เป็นการเยาะเย้ยดิวอิจที่โมโหเสียจนดิ้นพล่าน

ท่ามกลางบรรยากาศที่จู่ๆ ก็พลันดุเดือดปะทุขึ้น จักรพรรดิเอ่ยถามอาสทาน่า

“เจ้าชายลำดับที่หนึ่งล่ะ คิดเห็นเช่นไร”

อาสทาน่าคิดว่า ในที่สุดก็ถึงคราวเขาเสียที จึงตอบคำตอบที่เตรียมมาออกไปทันที

“กระหม่อมเห็นด้วยกับความเห็นของอังเกนัสพ่ะย่ะค่ะ ในอาณาจักรยังมีเขตแดนอื่นอีกมากที่ต้องการความช่วยเหลือของราชวงศ์ มากกว่าทางตะวันออกที่ได้รับความช่วยเหลือต่างๆ มามากมายแล้ว เรื่องเงินช่วยเหลือก็เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”

“มีเขตแดนที่ควรได้รับมากกว่าตะวันออก”

“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

“ที่ไหนกันล่ะ”

“ทางเหนือพ่ะย่ะค่ะ”

คำพูดของอาสทาน่าทำให้ผู้คนฝ่ายขวารวมถึงอังเกนัสพยักหน้าลงอย่างพร้อมเพรียงราวกับตกลงกันมาก่อน ส่วนทางฝ่ายซ้ายก็ได้แต่พ่นลมหายใจดังหึ ด้วยใบหน้าบ่งบอกว่า ‘ว่าแล้วเชียวต้องเป็นแบบนี้’

“ทำไมถึงคิดเช่นนั้นกัน”

“เจ้าตระกูลรูมันกล่าวว่า เพราะเส้นทางการเดินทางไปถึงตะวันออกนั้นยากลำบาก สินค้าจึงมีราคาแพง ทำให้ต้องการได้รับเงินสนับสนุน ประเด็นนั้นก็สมเหตุสมผลอยู่หรอก แต่เส้นทางการค้าที่เดินทางลำบากนั่น ทางเหนือก็เป็นเหมือนกันไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”

อาสทาน่าตอบจนถึงจุดนั้น แล้วก็แอบลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ในเมื่อตอบออกไปตามที่ท่องมาหมดเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่เหลือเรื่องอะไรให้ต้องทำอีก

จึงค่อยคลายความเครียดลง หายใจหายคอได้บ้างเสียที

พอเห็นว่าอาสทาน่าตอบคำถามของจักรพรรดิได้อย่างราบรื่น พวกขุนนางหลายคนถึงกับมองเขาด้วยนัยน์ตาแปลกไปจากเดิม

“เจ้าชายลำดับที่สองล่ะ คิดยังไง”

โยบาเนสเอ่ยถามเฟเรส

ชั่วพริบตาห้องประชุมก็พลันเงียบเสียงลงทันที

ทุกคนต่างก็หูผึ่งเฝ้ารอคำตอบของเฟเรส

เจ้าชายลำดับที่สองผู้จบการศึกษาจากอะคาเดมีไวกว่าผู้อื่นด้วยผลการศึกษาระดับท็อป จะมีความเห็นแบบไหนกัน

“ก่อนจะแสดงความเห็นของกระหม่อม กระหม่อมมีเรื่องอยากถามเจ้าชายลำดับที่หนึ่งพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทราบมาว่า เส้นทางการเดินทางที่เชื่อมต่อไปยังเขตแดนทางเหนือที่ว่านั่น เมื่อสองปีก่อนได้มีการก่อสร้างใหญ่ขยายถนน ทั้งยังเกิดเส้นทางการค้าสายใหม่ที่สามารถเดินทางผ่านภูเขาอีกด้วย แล้วทำไมถึงได้คิดว่าเขตแดนทางเหนือจึงจำเป็นต้องได้รับเงินช่วยเหลือพ่ะย่ะค่ะ”

“ระ เรื่องนั้น…คือว่า…”

อาสทาน่าลังเลไม่อาจตอบอะไรออกไปได้

เพราะเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย จึงไม่อาจพูดอะไรออกไปได้สักคำ

ในตอนนั้นเอง ดิวอิจ อังเกนัสก็เป็นฝ่ายเสนอตัวชิงตอบออกมาแทน

“การก่อสร้างเมื่อสองปีก่อนเป็นเพียงแค่การปรับปรุงถนนหนทางเท่านั้น แต่เส้นทางการค้ายังคงยากลำบากเหมือนเดิมพ่ะย่ะค่ะ เจ้าชายลำดับที่สองคิดว่าทางตะวันออกสมควรดื่มด่ำกับผลประโยชน์อย่างเงินช่วยเหลือต่อไปเรื่อยๆ อย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“ข้าคิดเช่นนั้นครับ”

เฟเรสมองสองพ่อลูกตระกูลรูมันพลางเอ่ยตอบเสียงเรียบ

ในวินาทีนั้น ขุนนางทั้งหลายที่อยู่ในห้องประชุมใหญ่ก็สามารถรู้ได้ในทันที

ตระกูลรูมันจากตะวันออกยืนอยู่ฝ่ายเจ้าชายลำดับที่สองนี่เอง

เฟเรสเอ่ยถามที่ประชุม

“ในที่แห่งนี้มีใครเคยมีประสบการณ์เดินทางไปเยือนทางตะวันออกบ้างมั้ยครับ”

ไม่มีใครยกมือขึ้นเลยแม้แต่คนเดียว

เพราะเส้นทางจากภาคกลางไปจนถึงภาคตะวันออก มันทั้งไกล ทั้งลำบากเกินทนมากถึงเพียงนั้น

“ระหว่างที่ข้าศึกษาอยู่ที่อะคาเดมีเมื่อถึงช่วงปิดเทอมก็จะออกเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทุกหนทุกแห่งในอาณาจักรครับ ข้าจึงได้ประสบพบเจอเรื่องมากมายด้วยตัวเอง และสามารถรู้สึกได้ผ่านทางผิวหนังเลยละว่าราคาสินค้าที่แพงแสนแพงของทางตะวันออกเองก็เป็นหนึ่งในนั้นครับ”

“โอ้ว…”

คำพูดของเฟเรสที่กล่าวว่าเคยเดินทางไปเยือนตะวันออกด้วยตัวเองมาแล้ว ทำให้ขุนนางหลายคนมองเฟเรสด้วยความทึ่งในใจ

“กลุ่มการค้าที่ยังคงเดินทางไปถึงเขตแดนรูมัน ซึ่งเป็นเขตแดนที่อยู่ลึกเข้าไปในใจกลางภาคตะวันออกอยู่เป็นประจำ ในปัจจุบันมีเพียงแค่กลุ่มการค้าลอมบาร์เดียกับร้านค้าเพลเลส มีเพียงแค่สองกลุ่มนี้เท่านั้นครับ”

“เพียงแค่สองกลุ่ม”

“หนักกว่าที่คิดอีกนะเนี่ย”

“สมควรแล้วที่ราคาสินค้าจะแพง”

เฟเรสให้เวลาพวกขุนนางได้พูดคุยส่งเสียงฮือฮากันให้พอใจ แล้วจึงเอ่ยว่าต่อ

“กลุ่มการค้าอื่นเพียงแค่ฝากสินค้าผ่านกลุ่มการค้าทั้งสองกลุ่มไปค้าขายบ้างเป็นครั้งคราวเท่านั้นครับ ดังนั้นราคาสินค้าถึงได้พุ่งทะยานเสียดฟ้าตามแต่ละฤดูกาลและเพื่อที่จะเติมเต็มรายได้ที่หดหายไปของบรรดาพ่อค้า บางครั้งบรรดาเจ้าตระกูลในเขตแดนตะวันออกยังต้องเป็นผู้กว้านซื้อสินค้าเหล่านั้นเก็บไว้ด้วย”

ทุกคนหันไปมองพ่อลูกตระกูลรูมันที่ยังคงนั่งอยู่ด้วยใบหน้านิ่งสงบ

เพราะสำหรับพวกเขาซึ่งเกลียดการเปิดกระเป๋าเงินตัวเองมากจนยอมตายยังดีกว่า การทำเช่นนั้นเรียกได้ว่าเป็นการยอมเสียสละอย่างแท้จริง

“ที่ผ่านมาเจ้าตระกูลฝ่ายตะวันออกทั้งหลายรวมถึงรูมัน ต่างก็ยอมรับความสูญเสียมากมายเพื่อตอบรับพระบัญชาของฝ่าบาท แต่ถ้าหากยังเอาแต่บีบบังคับพวกเขาให้ต้องยอมรับวัฒนธรรมของอาณาจักร โดยเมินเฉยพวกเขาต่อไปแบบนี้ละก็ จะกลายเป็นการขัดพระประสงค์ของฝ่าบาทที่ต้องการให้ภาคตะวันออกกับภาคกลางสามัคคีกันไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”

หลังจากเฟเรสพูดจบ ขุนนางของทั้งสองฝ่ายต่างก็กระซิบกระซาบสนทนาปรึกษากัน

มันไม่ใช่สงครามน้ำลายไร้ความหมายที่มักจะพบเห็นได้ในการประชุมใหญ่อยู่เป็นประจำ พวกเขากำลังปรึกษาหารือกันอย่างจริงจัง

จักรพรรดิโยบาเนสเฝ้ามองภาพตรงหน้าอยู่เงียบๆ ก่อนจะยกมือข้างหนึ่งขึ้น ห้องประชุมจึงเงียบราวกับหนูตายในทันที

“มอบเงินช่วยเหลือเส้นทางการค้าตะวันออกต่อจากนี้ไปอีกสิบปี รายละเอียดค่าใช้จ่ายเอาไว้ดูรายงานทางราชการก่อน แล้วค่อยตัดสินใจกันอีกทีก็แล้วกัน ข้ามไปฎีกาถัดไปได้”

ประเด็นที่สำคัญที่สุดที่ทุกฝ่ายนึกว่าจะต้องโต้เถียงกันอย่างร้อนแรง ไม่นึกเลยว่าจะถูกปิดฉากลงอย่างรวดเร็วขนาดนี้

ขุนนางทั้งหลายตื่นตระหนกจนพูดกันเสียงดัง แต่ในเมื่อจักรพรรดิเป็นผู้ตรัสว่าจะมอบเงินของราชวงศ์เป็นการช่วยเหลือ ข้าราชบริพารอย่างพวกเขาย่อมไม่อาจห้ามปรามได้อยู่แล้ว

“ฮึ่ม…”

เพราะแบบนี้ตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันผู้ถูกฝ่ายตะวันออกแย่งชิงเงินสนับสนุนไป โดยไม่อาจท้วงติงได้แม้แต่ครึ่งคำ จึงไม่อาจเก็บซ่อนความไม่พอใจบนใบหน้าเอาไว้ได้

การประชุมหลังจากนั้นไม่ได้มีเรื่องอะไรสำคัญนัก

มีเพียงแค่เฟเรสเท่านั้นที่วิเคราะห์ประเด็นต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ แสดงความคิดเห็นในมุมมองใหม่ ให้ทุกคนได้ประจักษ์แจ้งถึงความสามารถทางการเมืองของเขา

การประชุมสิ้นสุดลง

ขุนนางทั้งหลายที่เข้าร่วมการประชุมยังคงไม่ออกไปจากห้องประชุม พวกเขารวมตัวกันเป็นกลุ่มย่อยและกำลังสนทนากันอยู่

ทั้งองค์จักรพรรดิและเจ้าชายทั้งสองคนก็เช่นเดียวกัน

“ยอดเยี่ยมมาก เจ้าชายลำดับที่สอง ในที่สุดการประชุมก็ค่อยสมกับเป็นการประชุมใหญ่เสียที”

“ชมเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

นึกถึงท่าทางของพวกขุนนางที่พยักหน้ารับฟังความเห็นของเฟเรสทุกคำพูดขึ้นมา จักรพรรดิโยบาเนสก็หัวเราะเสียงดัง

พระองค์ดื่มเหล้าอย่างอารมณ์ดีพลางเอ่ยกับเฟเรส

“ต่อไปการประชุมใหญ่ก็คงจะยิ่งดุเดือดมากขึ้น เพราะเจ้าชายลำดับที่สอง…”

พรวด

ประตูห้องประชุมใหญ่ถูกเปิดออกอย่างกะทันหัน หนึ่งในมหาดเล็กผู้ช่วยขององค์จักรพรรดิกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามา

ในมือของเขาถือกระดาษสีแดงใบหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเพิ่งคลายออกจากขาของนกพิราบสื่อสาร

พวกขุนนางที่กำลังสนทนากันอยู่ต่างพากันหันไปมองทางด้านนั้นกันเป็นสายตาเดียว

“มีอะไร”

โยบาเนสรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ จึงเอ่ยถามเป็นการเร่งเร้า

“เมื่อครู่นี้…เมื่อครู่นี้มีสารด่วนส่งมาจากทางเหนือพ่ะย่ะค่ะ”

มหาดเล็กเอ่ยเสียงสั่น

“ข่าวแจ้งมาว่า จู่ๆ ทางเหนือก็เกิดเหตุดินถล่มขนาดใหญ่พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]