พวกเราเดินทางมาถึงเขตแดนไอบันได้อย่างปลอดภัย
เนื่องจากตารางการเดินทางอันแสนเร่งรีบ ทุกคนจึงเหนื่อยล้ากันมาก แต่การเดินทางก็มาถึงได้อย่างราบรื่นไม่เกิดเรื่องอันตรายอะไร
เหล่าพลเมืองที่รวมตัวกันอยู่แถวลานก่อสร้างกำแพงเมือง ต่างก็ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นสูง ตะโกนโห่ร้องเสียงดังต้อนรับพวกเราซึ่งเสมือนเป็นแนวหน้าที่จะคอยประสานงานในการขนส่งอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัยและความช่วยเหลือจากภาคกลางมาในอนาคต
แต่ปัญหาคือตั้งแต่เดินเข้าไปในคฤหาสน์ไอบันเนี่ยแหละ
“เชิญพ่ะย่ะค่ะเจ้าชาย และก็คุณหนูลอมบาร์เดียกับท่านชายรูมันด้วย ยินดีต้อนรับนะครับ ข้ามิเคนเต้ ไอบันครับ”
มิเคนเต้ ไอบัน เป็นบุตรชายคนที่สองของเจ้าตระกูลไอบัน หรือก็คือน้องชายของตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันที่พำนักอยู่ในเมืองหลวงนั่นเอง
“…เจ้าตระกูลไอบันอยู่ที่ไหนเนี่ย”
เธอกับอาบีน็อกซ์เอ่ยถามเช่นนั้น
เจ้าชายรับราชโองการจากองค์จักรพรรดิ เดินทางนำเสบียงกู้ภัยมาให้ถึงไอบัน แต่คนที่ออกมาต้อนรับเจ้าชายพร้อมคณะเดินทางกลับไม่ใช่เจ้าตระกูลไอบันเนี่ยนะ
นี่ถือเป็นมารยาททางการเมืองที่แย่มาก
ถ้าหากเป็นอาสทาน่าละก็ ป่านนี้อาจจะโวยวายจนจะเกิดเรื่องวุ่นไปทั่วเขตแดนแล้วก็ได้
ใบหน้าของเฟเรสเองก็ดูบึ้งตึงไปมากเหมือนกัน
“ท่านพ่อ…พอดีเมื่อเช้ามืดเกิดเหตุดินถล่มอีกแล้ว ก็เลยรีบร้อนออกไป…”
มิเคนเต้ ไอบัน รีบร้อนแก้ตัว แต่สุดท้ายก็ต้องโค้งศีรษะลงพร้อมเอ่ยขออภัย
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะเจ้าชาย”
เธอเฝ้ามองสถานการณ์อยู่เงียบๆ เพราะไม่ว่ายังไง คนที่รับราชโองการให้เป็นผู้นำขบวนเดินทางในครั้งนี้คือเฟเรส
“…ดีจริงที่ได้เห็นว่าให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของพลเมืองมาเป็นอันดับแรก”
คิดที่จะลอบสังเกตการณ์เงียบๆ ไปก่อนสินะ
คำพูดของเฟเรสทำเอามิเคนเต้รู้สึกละอายใจขึ้นมาเล็กน้อย
“ทางกระหม่อมได้เตรียมงานเลี้ยงมื้อเย็นไว้แล้วพ่ะย่ะค่ะเดินทางมากันเหนื่อยๆ พักผ่อนกันก่อน กระหม่อมจะให้คนนำทางให้พ่ะย่ะค่ะ เจ้าชาย”
“ตามนั้น”
ผู้ดูแลจากตระกูลไอบันช่วยนำทางเธอ เฟเรส และอาบีน็อกซ์ไปยังห้องพักของแต่ละคน
“อีกเดี๋ยวเจอกันนะ”
หลังจากเกิดเรื่องที่ทะเลสาบเมื่อวันก่อน เฟเรสกับเธอก็รู้สึกกระอักกระอ่วนมองหน้ากันไม่ติดอยู่บ้าง
ช่วยไม่ได้บรรยากาศวันนั้นมันชวนให้รู้สึกแบบนั้นอยู่เหมือนกันนี่นา
ในที่สุดก็ได้อยู่ในห้องตามลำพังเสียที เธอทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้นุ่มสบาย
“ฮู่ว สบายดีจัง”
ผู้ดูแลหญิงนามเบคกี้ที่ทางตระกูลไอบันช่วยเป็นธุระจัดหาให้ ส่งเสียงบอกเธอว่าจะไปเตรียมอ่างอาบน้ำอุ่นๆ ให้แช่
ดังนั้นก่อนที่นางคนนั้นจะกลับมา เธอก็ได้อยู่คนเดียวตามลำพังเสียที
เธอยกขาขึ้นพาดโต๊ะตัวเตี้ยที่วางอยู่หน้าเก้าอี้นวมพลางครุ่นคิด
“เจ้าตระกูลไอบันนี่ดูท่าทางจะไม่ธรรมดาเสียแล้วสิ”
* * *
การคาดเดาของเธอถูกเผง
เจ้าตระกูลไอบันเป็นคนที่รับมือได้ยากมากสุดๆ
“กระหม่อมไม่ขอรับเงินช่วยเหลือพ่ะย่ะค่ะ”
นั่นคือคำพูดประโยคแรกที่เจ้าตระกูลไอบันเอ่ยขึ้นในทันทีที่นั่งลงบนโต๊ะอาหาร
“ท่านพ่อ!”
มิเคนเต้ตะโกนห้ามปราม แต่เจ้าตระกูลไอบันก็ไม่แม้แต่จะสะดุ้งสะเทือน
“หมายความว่าจะปฏิเสธราชโองการหรือครับ”
คำพูดของเฟเรสทำให้เจ้าตระกูลไอบันตวัดสายตาขึ้นจ้องเขาเขม็ง
ช่างแตกต่างจากเจ้าตระกูลไอบันในความทรงจำของเธอเสียจริง
ภาพลักษณ์คนใจกว้างอยู่เสมอสมกับเป็นคนทางเหนือนั่น หายไปไหนหมดแล้ว
บรรยากาศรอบตัวมีแต่จะดุดันมากขึ้นพอๆ กันกับใบหน้าที่เริ่มหยาบกร้านสมกับเป็นคนที่ผ่านเรื่องอะไรมามากมาย
“กระหม่อมหมายถึงไม่ขอรับเงินทองพ่ะย่ะค่ะ ไม้ที่ทางตระกูลลอมบาร์เดียช่วยเตรียมมาให้ หรือเสบียงช่วยเหลือจากตระกูลรูมัน ถึงแม้จะน่าละอายใจ แต่กระหม่อมขอน้อมรับเอาไว้พ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าตระกูลไอบันโค้งศีรษะให้เธอเล็กน้อย ในขณะที่เอ่ยเช่นนั้น
“มีเหตุผลอะไรครับ” เฟเรสเอ่ยถามเสียงเย็นชา
มันไม่ใช่การตำหนิ แต่เป็นคำถามที่ถามออกไปด้วยความอยากรู้เท่านั้นจริงๆ
เจ้าตระกูลไอบันเองก็คงจะรู้สึกได้ถึงได้ยอมลดพลังที่กดข่มไปทั่วห้องลง แล้วเอ่ยขึ้นว่า
“ในเมื่อเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะความประมาทของไอบัน ดังนั้นไอบันจึงอยากเป็นคนรับผิดชอบเองก็เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“อืมมม”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]
น่าสนุก...