เธอเดินทางมายังไอบันได้สิบวันแล้ว
ที่ผ่านมาเธอยุ่งอยู่กับการพาตัววิศวกรของลอมบาร์เดียไปยังสถานที่ที่พวกเขาต้องการความช่วยเหลือ และแบ่งสันปันส่วนช่วยแจกจ่ายไม้ที่ซื้อมาจากร้านค้าเพลเลสไปทั่วเขตแดนเหนือ
และวันนี้ก็ยังคงยุ่งจนแทบไม่มีสติ ไวโอเล็ตถือดอกไม้มาหาเธอถึงคฤหาสน์ตระกูลไอบัน แสร้งทำเหมือนมาเยี่ยมเยียนเป็นการส่วนตัว และกำลังรายงานเรื่องของร้านค้าเพลเลสให้เธอฟัง
“ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปพวกเราจะเปิดประตูโกดังแห่งที่สองค่ะ ในจำนวนนั้นจะแบ่ง 50 ต้นให้ไอบัน ส่วนที่เหลือจะแจกจ่ายไปให้เขตแดนรอบๆ จำนวน 130 ต้นค่ะ”
“ดูเหมือนจะเปิดโกดังช้ากว่าที่วางแผนไว้นะคะ”
“ขาดแรงงานคนที่จะขนย้ายต้นไม้น่ะค่ะ”
“ถ้าจ้างแรงงานมาจากที่อื่น คงจะดำเนินการได้เร็วกว่านี้มากแท้ๆ ถึงแม้จะแพงหน่อย เพราะอยู่ในช่วงฤดูเพาะปลูกก็เถอะ”
“ได้ยินว่าเขตแดนโจนิกที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของไอบัน จะจ้างแรงงานมาเพิ่มจากทางตอนกลางตั้งแต่วันนี้ไปค่ะ”
“เหรอคะ หรือจะมีเงินเหลืออยู่บ้าง”
ในสถานการณ์ที่เจ้าตระกูลไอบันเอาแต่ยืนกรานที่จะไม่รับเงินช่วยเหลือจากราชวงศ์ การมีเขตแดนที่สามารถจัดการฟื้นฟูบ้านเมืองได้เร็วขึ้นหน่อย ถึงจะแค่เขตแดนเดียวก็ยังถือเป็นเรื่องที่ดี
ในตอนนั้นเอง สายลมเย็นก็พัดผ่านหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้เข้ามาในห้อง จนร่างกายรู้สึกหนาวเย็นเล็กน้อย
“อากาศทางเหนือเริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้วสินะคะ ไวโอเล็ต”
“หมดหน้าร้อนแล้ว ไม่นานอากาศก็จะหนาวขึ้นแบบนี้ทันทีเลยละค่ะ จะไปไหนก็สวมเสื้อผ้าให้หนาเข้าไว้นะคะ ท่านฟีเรนเทีย”
“แค่นี้ท่านพ่อก็ส่งเสื้อผ้าหนาๆ จากร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮันสาขาไอบันมาให้มากขนาดนั้นแล้วค่ะ”
เธอชี้ไปยังเสื้อผ้ากองหนึ่งเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบทางฝั่งหนึ่งของห้องนอน
“แต่นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมดนะคะ เห็นว่าพรุ่งนี้เช้าจะมีส่งมาให้อีกรอบ”
พอเธอพูดแบบนั้น ไวโอเล็ตก็หัวเราะเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นว่า
“ท่านแคลอฮันเองก็คงจะเป็นห่วงมากเลยสินะคะเนี่ย นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านฟีเรนเทียออกมาค้างนอกลอมบาร์เดียไม่ใช่หรือคะ”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ อีกไม่กี่วันก็จะเดินทางกลับลอมบาร์เดียแล้วแท้ๆ นี่ต่อให้ใส่วันละตัวยังเหลือเฟือเลยไม่ใช่เหรอ”
เธอพูดเช่นนั้นก่อนจะเดินไปหยิบเดรสที่เลือกเอาไว้แล้วจากบรรดาเดรสที่ท่านพ่อส่งมาให้ขึ้นมาถือไว้
มันเป็นเดรสผ้าไหมสีกุหลาบเข้มประดับไปด้วยผ้าลูกไม้บางๆ สีดำ ช่วยทำให้นัยน์ตาสีเขียวของเธอดูโดดเด่นยิ่งขึ้น
ต้องเปลี่ยนชุดแล้ว
“ข้าช่วยนะคะ ท่านฟีเรนเทีย”
“ได้เหรอคะ ขอบคุณค่ะ ไวโอเล็ต แค่ช่วยข้าใส่ชุดเดรสก็พอค่ะ”
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความช่วยเหลือของไวโอเล็ต เธอก็เดินไปนั่งลงที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งเพื่อเลือกเครื่องประดับที่ดูเข้าชุด
“อืมม ไม่รู้ทำไมถึงเป็นอันนี้ที่เหมาะเสียได้นะเนี่ย”
เครื่องประดับที่เธอเลือกคือ กิ๊บติดผมทับทิมที่เฟเรสเคยให้เป็นของขวัญเมื่อนานมาแล้ว
“ทำไมหรือคะ ท่านฟีเรนเทีย”
“กิ๊บติดผมชิ้นนี้น่ะค่ะ มันเข้ากับเดรสตัวที่สวมอยู่ตอนนี้มากเลยใช่มั้ยล่ะคะ”
“จริงด้วยค่ะ เหมือนกับเครื่องประดับที่สร้างขึ้นมาเป็นคู่กันเลยค่ะ”
แต่งานเลี้ยงมื้อเย็นวันนี้เฟเรสก็จะมาด้วยนี่นา
นั่นคือความคิดแรกที่เกิดขึ้น เธอใช้ปลายนิ้วลูบกิ๊บติดผม และในที่สุดก็เสียบมันลงบนผมของตัวเอง
มันออกจะดูเข้ากันดีขนาดนี้ ถ้าจงใจไม่ใช้ก็ออกจะแปลกไปหน่อยไม่ใช่หรือไง
“ถ้าอย่างนั้นไว้พรุ่งนี้ค่อยพบกันที่ร้านค้าเพลเลสนะคะ ไวโอเล็ต”
หลังจากเช็กดูว่าใกล้ถึงเวลาเริ่มงานเลี้ยงมื้อเย็นแล้ว เธอก็กล่าวลาไวโอเล็ต จากนั้นก็หมุนประตูลูกบิดเปิดประตูห้องนอนออกไป
ทันใดนั้น
“อ๊ะ?”
สบตาเข้ากับเฟเรสที่อยู่ตรงหน้าห่างกันแค่ปลายจมูกกั้น เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นคล้ายกับกำลังจะเคาะประตูห้องพอดี
“สวัสดี เฟเรส”
เธอเอ่ยทักทายเสียงเรียบเหมือนไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
แต่เฟเรสกลับมีสีหน้าเหมือนตกใจอะไรบางอย่าง
นัยน์ตาสีแดงคู่นั้นเอาแต่มองหน้าเธอ ก่อนที่จะคลายตัวคลี่ยิ้มแปลกพิกล
“…สวัสดี เทีย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]
น่าสนุก...