“ท่านอาบีน็อกซ์อย่าให้ตอนเช้าสร่างเมาแล้วต้องเสียใจจนเตะผ้าห่มเลยนะคะ รีบกลับห้อง…”
“ข้าควรจะทำยังไงดีครับ ท่านฟีเรนเทีย” ดูเหมือนจะช้าไปก้าวหนึ่งจนได้
“ข้าชอบนางมากจริงๆ แต่ไม่รู้แล้วครับว่าจะต้องทำยังไง”
อาบีน็อกซ์เริ่มพร่ำเพ้อออกมาไม่หยุดเสียแล้ว
“คือ…ท่านอาบีน็อกซ์คะ ข้าจะช่วยรับฟังเองนะคะ เพราะฉะนั้นปล่อยมือก่อนเถอะค่ะ”
“นางเกลียดข้าหรือเปล่าครับ”
เธอจะไปรู้ได้ยังไงกันล่ะว่าผู้หญิงคนนั้นชอบเขาหรือไม่ชอบ แต่ถ้านางได้มาเห็นสภาพอ่อนปวกเปียกร้องห่มร้องไห้จนน้ำตาท่วมของเจ้าตอนนี้ละก็ คงได้พาลเกลียดขี้หน้าเจ้าจริงๆ แน่
และก่อนที่เธอจะดึงมือออกเพียงเสี้ยววินาที
ตึก ตึก
เฟเรสที่ปลีกตัวออกไปจากโต๊ะเพื่อไปเอาเค้กชิ้นหนึ่งกลับมา เพราะคำพูดของเธอที่บอกเขาว่าเค้กที่ออกมาเป็นของหวานหลังอาหารดูน่าอร่อย ได้เดินกลับมาที่โต๊ะแล้ว
และเขาก็กระชากมือของอาบีน็อกซ์ออกจากมือของเธออย่างหยาบคาย โดยที่เธอไม่ทันได้เอ่ยปากห้าม
“อ๊ะ!”
อาบีน็อกซ์สะดุ้งด้วยความตกใจ เขามองเธอสลับกับเฟเรสที่จ้องหน้าเขาด้วยนัยน์ตาคมกริบ ก่อนจะรีบขอโทษขอโพยทันที
“ขะ ขอโทษครับ ท่านฟีเรนเทีย ข้าผิดไปแล้ว” ท่าทางตอนนี้คงจะสร่างเมาแล้วสินะ
“ไม่เป็นไรค่ะ ท่านอาบีน็อกซ์” เธอยิ้มไม่คิดกล่าวโทษอะไรอีกฝ่าย
แต่ดูเหมือนอาบีน็อกซ์จะเข้าใจความหมายของคำว่า ‘ไม่เป็นไร’ นั่น ผิดไปเล็กน้อย
“ข้ามีเรื่องกลุ้มใจ ไม่ทราบว่าจะช่วยรับฟังได้มั้ยครับ”
“เรื่องกลุ้มใจอะไรคะ… ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าข้าจะช่วยอะไรได้หรือเปล่า”
พูดถึงขนาดนั้นแล้ว จะไม่รับฟังก็ไม่ได้ไม่ใช่หรือไงกัน
“ข้า…มีหญิงสาวที่ชอบครับ”
เธอกินเค้กที่เฟเรสช่วยเป็นธุระไปหยิบมาให้ไปพลาง ฟังเรื่องเล่าของอาบีน็อกซ์ไปพลาง
“ผู้หญิงคนนั้น ดูเหมือนนางเองก็ไม่ทราบหรอกครับว่าข้าชอบนาง ไม่สิ อาจจะทราบอยู่แล้วก็ได้ ข้าไม่แน่ใจเลยครับ”
“พูดอะไรแบบนี้กัน”
“ครับ”
เธอดันหลุดพูดความคิดในใจออกไปโดยไม่รู้ตัว
“ปะ เปล่าค่ะ คือแบบว่า ถ้าเล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังอย่างชัดเจน บางทีข้าอาจจะพอให้คำปรึกษาเรื่องที่กลุ้มใจนั่นได้นะคะ ท่านอาบีน็อกซ์”
“อา…นั่นสิครับ” ไหล่ของอาบีน็อกซ์ลู่ลงอย่างไร้เรี่ยวแรงก่อนจะพูดต่อ
“ข้าได้พบกับนางครั้งแรกในสโมสรครับ มันเป็นสโมสรพบปะของผู้คนที่ชื่นชอบในการอ่านหนังสือที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง ข้าเองก็ไปร่วมโดยไม่ได้คิดอะไรมาก แต่กลับตกหลุมรักนางเข้าอย่างจังตั้งแต่แรกเห็น นางช่างแสนงดงามเหลือเกิน”
นัยน์ตาของอาบีน็อกซ์ยามพรรณนาถึงผู้หญิงคนนั้นกลายเป็นรูปหัวใจไปแล้ว คงจะชอบมากจริงๆ
“หลังจากนั้นก็มีได้พบกันบ้างตามงานเลี้ยงหรือสโมสรเล็กใหญ่หลายงานครับ เพราะอย่างนั้นถึงได้มอบหนังสือให้นางเป็นของขวัญ บางครั้งก็ใช้เวลาดื่มชาร่วมกัน”
“ถ้าอย่างนั้นคนคนนั้นเองก็น่าจะมีใจให้ท่านอาบีน็อกซ์เหมือนกันนี่คะ”
“ข้าเองก็คิดแบบนั้นครับ แต่ว่า…”
หยาดน้ำตาหยดแหมะไหลออกมาจากนัยน์ตาของอาบีน็อกซ์อีกรอบ
“เมื่อไม่นานมานี้ นางได้บอกกับข้าน่ะครับ ดูเหมือนว่าอีกไม่นานที่บ้านของนางจะเลือกคู่หมายให้…”
ใบหน้าของอาบีน็อกซ์หม่นหมอง ในขณะเดียวกันเสียงของเขาก็เริ่มแผ่วเบาลงเรื่อยๆ
“ถ้านางต้องแต่งงานกับคนอื่น ข้าคงไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้แล้วล่ะครับ”
“ไม่สิ เดี๋ยวนะคะ” เธอยกมือขึ้นห้ามปรามความคิดของเขาก่อนจะเอ่ยถาม
“เพราะฉะนั้นก็หมายความว่า ผู้หญิงคนนั้นบอกท่านอาบีน็อกซ์ว่าอีกไม่นานอาจจะต้องแต่งงาน ใช่มั้ยคะ”
“ครับ…”
“แถมยังไม่ได้แต่งเพราะรัก แต่เป็นการคลุมถุงชนเพราะที่บ้านจัดหาคู่หมายให้”
“ครับ…”
อะไรกัน นี่มันต่างฝ่ายต่างก็ใจตรงกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง
เธอไม่เข้าใจอาบีน็อกซ์ที่เอาแต่ร้องห่มร้องไห้เสียเลย ก่อนจะหันไปมองเฟเรสแทนความหมายว่าเด็กนี่น่าสงสารเนอะว่ามั้ย
แต่ไม่รู้ทำไม เฟเรสเองก็กำลังตบบ่าของอาบีน็อกซ์เบาๆ เหมือนจะให้กำลังใจอยู่นะนั่น
ท่าทางเหมือนเข้าใจความรู้สึกของอาบีน็อกซ์ดีเสียด้วย
พวกผู้ชายขี้ขลาด
เธอเอ่ยถามอาบีน็อกซ์ตรงๆ
“ท่านอาบีน็อกซ์ได้สารภาพรักผู้หญิงคนนั้นหรือยังคะเนี่ย”
“ยังไม่ได้…สารภาพรักหรอกครับ แต่ข้าก็แสดงความรู้สึกให้นางได้รู้ด้วยวิธีอื่นนะครับ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]
น่าสนุก...