มันอาจจะเป็นการสรุปเอาเองอย่างไร้เหตุผลรองรับ แต่ความเป็นไปได้ของคำพูดเธอนี่สูงเสียดฟ้าเลยทีเดียว
ท่านพ่อหยุดนิ่งพูดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง
แล้วเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงฟังดูแง่งอนเล็กน้อย
“เจ้าชายไม่เป็นอะไรหรอก ก็แค่ใช้แรงไปเยอะเพราะช่วยเจ้าเท่านั้นเอง แต่ก็ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว อ๊ะ มานั่นแล้ว”
เสียงของท่านพ่อดังขึ้นพร้อมกับประตูที่ถูกเปิดออกเสียงดังแกรก
“เฟเรส?”
มองไม่เห็นนี่มันไม่สะดวกแบบนี้นี่เอง
ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าเดินเข้ามาหาเธอดังขึ้นแทนคำตอบ
“พวกเราออกไปข้างนอกกันก่อนเถอะ เทีย เจ้าก็อยู่คุยสักพักแล้วกันนะ”
ไม่รู้ทำไมท่านพ่อกับคนอื่นๆ ถึงได้ช่วยปลีกตัวหลบฉากออกไปอย่างเงียบๆ
ทุกคนออกไปจากห้อง เหลือเพียงแค่เธอกับเฟเรสสองคน
เธอยื่นมือออกไปทางฝั่งที่เฟเรสน่าจะยืนอยู่
โล่งอกที่มือใหญ่คู่นั้นจับมือของเธอเอาไว้ในทันที
“กินข้าวหรือยัง” แต่เด็กหนุ่มกลับไม่ยอมตอบอะไร
“เฟเรส เจ้ารู้ใช่มั้ยว่าตอนนี้ตาข้ามองอะไรไม่เห็น ถ้าเจ้าไม่พูดข้าก็ไม่รู้นะ”
“…ขอโทษ”
เสียงของเฟเรสแหบแห้งจนแตกพร่า
“อะไร”
“ที่ปล่อยให้เจ้าต้องเจอเรื่องแบบนั้นคนเดียว”
อา พอจะเดาได้คร่าวๆ แล้วละ ว่าเด็กนี่กำลังคิดอะไรอยู่
“ก็ขอบใจนะที่เป็นห่วงกัน แต่อย่าคิดแบบนั้นเลย ถ้าเจ้าอยู่ในนั้นกับข้า จะไปทำอะไรได้ล่ะ อย่างน้อยเจ้าอยู่ข้างนอกแบบนี้ ถึงได้ช่วยข้าออกมาได้ไม่ใช่หรือไง”
เฟเรสกุมมือเธอแน่นโดยไม่พูดอะไร
“ถ้าไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นตั้งแต่แรกก็ดีหรอก แต่ข้าคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันก็เกิดขึ้นในสถานการณ์ที่ถือว่าค่อนข้างโชคดีแล้วนะข้าเองก็ออกมาได้ปลอดภัยแบบนี้แล้วไง”
ความจริงแล้วพอนึกถึงรถม้าที่ทั้งแคบทั้งมืดสนิทนั่นขึ้นมา ร่างกายก็พลันรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาเล็กน้อย แต่เธอก็พยายามที่จะพูดออกไปอย่างหนักแน่นที่สุด
“และที่จริงแล้วข้าก็ไม่ได้กลัวมากเหมือนอย่างที่คิดหรอก เพราะข้ารู้ว่ายังไงเจ้าก็ต้องมาช่วยข้า”
เธอคิดแบบนั้นจริงๆ
เธอจับมือของเด็กหนุ่มเอาไว้แน่นเหมือนอย่างที่เฟเรสกุมมือเธอไว้ในตอนนี้ พลางเอ่ยขึ้นว่า
“โดยเฉพาะเจ้าน่ะ เฟเรส แค่คิดว่าด้านนอกนั่นมีเจ้าอยู่ ข้าก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมาแล้วละ ถึงแม้ระหว่างที่รอคอยจะน่าเบื่อนิดหน่อยก็เถอะ”
“เทีย…”
“คราวนี้ก็ผลักเรื่องนั้นไปได้แล้ว ข้าคิดว่ามันได้เวลากลับไปใช้ชีวิตปกติสุขกันอีกครั้งแล้วละ เลยปล่อยใจให้สบายไง เจ้าก็ด้วย เฟเรส อย่าคิดมากเลย”
“…เข้าใจแล้ว” เด็กหนุ่มตอบอย่างว่าง่าย
แต่ในน้ำเสียงของเขายังคงไร้เรี่ยวแรงเหมือนเดิม
อืมมม ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้สินะ
เธอขยับที่ปิดตาเลื่อนมันออกเล็กน้อย
ภายในห้องไม่ได้สว่างเท่าไหร่ ผ้าม่านผืนหนาปิดลงมาเหมือนอย่างที่เอสทีร่าบอกเอาไว้
กะพริบตาปริบๆ อยู่ไม่กี่ครั้ง นัยน์ตาก็แทบจะไม่มีความผิดปกติอะไร
เธอจึงถอดที่ปิดตาทิ้งมันทั้งแบบนั้น
“เทีย!”
เฟเรสสะดุ้งด้วยความตกใจ แต่เธอไม่คิดที่จะหยุดมือและค่อยๆ ลืมตาที่ปิดอยู่ขึ้นอย่างช้าๆ
มองเห็นใบหน้าของเฟเรสที่เปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วงอยู่ตรงหน้าเธอ
“นึกแล้วเชียวว่าเจ้าต้องเป็นแบบนี้”
นัยน์ตาคู่นั่นสั่นระริกราวกับเกิดแผ่นดินไหว หางตาตกลู่ลงด้วยความเหนื่อยล้า
เธอยกมือขึ้นลูบแก้มของเฟเรสเบาๆ
แน่นอนว่าหน้าตาอันแสนหล่อเหลาของเขาไม่ได้หายไปไหน เพียงแค่มันซีดเซียวจนดูแย่ลงไปมาก
“นี่สภาพเจ้าแย่กว่าข้าอีกไม่ใช่เหรอเนี่ย”
“…ข้าไม่เป็นอะไร ออร่าเองก็กำลังฟื้นตัวเป็นอย่างดี เจ้าเป็นหนักกว่าข้า…”
“ทั้งเจ้าทั้งข้าคงต้องกินกันให้เยอะๆ สักระยะแล้วละมั้ง”
เธอจงใจพูดเหมือนไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับสภาพย่ำแย่ของพวกเราทั้งคู่ ก่อนจะผละมือออกจากใบหน้าของเฟเรส มือที่กอบกุมเอาไว้ก็ปล่อยออกเช่นกัน
รู้สึกได้ว่าสายตาของเฟเรสยังคงอ้อยอิงไม่ยอมห่าง
“เจ้าตระกูลไอบันล่ะ”
“ลาออกจากตำแหน่งตั้งแต่วันที่เจ้าถูกช่วยขึ้นมา หลังจากนั้นก็ส่งมอบตำแหน่งเจ้าตระกูลให้มิเคนเต้ ไอบันที่ได้สติในวันถัดมาอย่างเป็นทางการทันทีคงคิดที่จะรับผิดชอบอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับเจ้าเพียงคนเดียวนั่นแหละ แต่ข้าไม่ยอมปล่อยให้เป็นแบบนั้นหรอก”
เสียงของเฟเรสฟังดูเย็นยะเยือกจนน่าขนลุกยามที่เขากล่าวเช่นนั้น
“ต้องรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด”
“ไม่ เฟเรส ปล่อยให้เจโรม ไอบันเป็นคนแบกความรับผิดชอบทั้งหมดไปแค่คนเดียวเถอะ”
แต่เธอส่ายหน้าห้ามเฟเรสเอาไว้
“มิเคนเต้ ไอบันจะเป็นคนที่ยอมโหวตเลือกเจ้าในการแต่งตั้งรัชทายาทอย่างไม่มีเงื่อนไข ถ้าจู่ๆ ตำแหน่งตัวแทนเขตเหนือไม่ใช่ไอบัน แต่ถูกเปลี่ยนไปที่ตระกูลอื่นแล้วละก็ ที่ข้าอุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงเขตแดนเหนือนี่ก็เปล่าประโยชน์น่ะสิ”
เฟเรสเหม่อมองเธออยู่ครู่หนึ่งนัยน์ตาสีแดงคู่นั้นดูจะหม่นมัวลงไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]
น่าสนุก...