เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] นิยาย บท 5

สรุปบท เล่ม 5 บทที่ 192.1: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]

อ่านสรุป เล่ม 5 บทที่ 192.1 จาก เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] โดย Internet

บทที่ เล่ม 5 บทที่ 192.1 คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายแฟนตาซี เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

เล่ม 5 บทที่ 192.1

ตอนที่ 192

คำว่าผู้สืบทอดทำให้บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาพูดคุยกันเสียงดังเซ็งแซ่ด้วยความตื่นตระหนก

“ท่านเจ้าตระกูล เรื่องนั้นยัง…”

“จะบอกว่าเร็วเกินไปงั้นหรือ”

รูลลักถามกลับยิ้มๆ

“ข้าเองก็ถึงเวลาต้องพักได้แล้วมิใช่หรือ นี่กระมังที่คนเขาว่าสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยง”

เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาต่างก็มีสีหน้าหม่นหมอง

โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ยังถือว่าหนุ่มอยู่บ้างเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ยิ่งแล้วใหญ่

เนื่องจากเจ้าตระกูลที่พวกเขารู้จักมาตั้งแต่เกิดมีเพียงแค่รูลลักผู้เดียว จึงไม่อาจจินตนาการภาพบุคคลอื่นที่ไม่ใช่รูลลักขึ้นมานั่งดำรงตำแหน่งเจ้าตระกูลได้เลย

ทั่วห้องประชุมจึงตกอยู่ในความเงียบอันน่ากระอักกระอ่วน

“พวกเจ้านี่นะ ข้าบอกหรือว่าจะลงจากตำแหน่งตอนนี้ ทำไมถึงได้ทำท่าจะเป็นจะตายกันแบบนั้นเล่า”

รูลลักหัวเราะหยอกเย้า

“เอาละๆ เช่นนั้นก็เสนอความเห็นกันตามสบายเถอะ ข้าควรจะเชื่อใจและส่งมอบตระกูลต่อให้ผู้ใด”

และความเงียบแบบอื่นก็เข้าครอบงำไปทั่วห้องอีกครั้ง

ทุกคนต่างก็ตกอยู่ในภวังค์ความคิด

ในตอนนั้นเอง เจ้าตระกูลเฮย์ลิ่งเป็นคนแรกที่กล่าวขึ้นท่ามกลางความเงียบ

“ท่านชานาเนสเป็นเช่นไรครับ”

ผู้ใต้บังคับบัญชาหลายคนต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย

“ที่ผ่านมาก็ได้ดำรงตำแหน่งรักษาการณ์เจ้าตระกูล ลงมือทำงานด้วยตัวเองในหลายๆ ด้านไม่ใช่หรือครับ นั่นก็ไม่ต่างอันใดจากการได้พิสูจน์ความสามารถให้ประจักษ์แจ้งแล้ว ข้าคิดว่าเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยที่สุด”

“อืมมมม คนอื่นๆ เองก็คิดแบบนี้เหมือนกันหรือ”

คราวนี้เป็นเจ้าตระกูลกรีนิค ผู้ดูแลจัดการที่ดินเป็นคนตอบคำถามรูลลัก

“ข้าเคยมีประสบการณ์ทำงานร่วมกับท่านชานาเนสมาก่อนครับ อันที่จริงทุกครั้งก็รู้สึกได้เลยว่าคล่องแคล่วมากจนไม่จำเป็นต้องให้เวลาได้ทดลองฝีมือกันเลย ราวกับข้ากำลังทำงานอยู่กับท่านเจ้าตระกูลเลยละครับ”

“ใช่แล้วละครับ อีกอย่าง ความสามารถในการจัดการเหตุวิกฤตต่างๆ ของท่านชานาเนสเองก็ไม่มีผู้ใดเทียบได้ด้วย”

เจ้าตระกูลทลทาร์ ผู้บริหารจัดการดูแลกิจการเหมืองแร่เสนอตัวเห็นด้วย

ในตอนนั้นเอง เจ้าตระกูลเบรย์ ผู้รับผิดชอบธนาคารลอมบาร์เดียก็เปิดปากพูดขึ้นบ้าง

“ข้าคิดว่าท่านแคลอฮันก็น่าจะเหมาะนะครับ”

“โอ้”

รูลลักเลิกคิ้วเล็กน้อย เมื่อได้ยินนามอื่นดังขึ้นบ้าง

“เหตุผลใดกัน”

“ท่านแคลอฮันเป็นคนที่มีประสบการณ์ด้านพัฒนาและบริหารจัดการเขตแดนอยู่ก่อนแล้วนี่ครับ ท่านเจ้าตระกูล”

“ก็จริง เชซายูพัฒนาขึ้นมากในระยะเวลาสั้นๆ เลยทีเดียว”

“ครับ ขนาดคนที่ดูแลด้านการเงินโดยตรงอย่างข้ายังรู้สึกประหลาดใจเลยละครับ ท่านแคลอฮันมีความเข้าใจในเรื่องธุรกิจและการเงินสูงมาก”

ยิ่งเป็นคำพูดของเจ้าตระกูลเบรย์ผู้ตระหนี่ในเรื่องเงินทองแล้ว ยิ่งสร้างน้ำหนักให้แก่ความเห็นของเขาได้มากยิ่งขึ้น

“เรื่องนั้นท่านแคลอฮันเองก็ยอดเยี่ยมมากเหมือนกันนะครับ”

“ใช่แล้วละครับ แถมถ้าโยกย้ายเชซายูให้กลายมาเป็นเขตแดนของลอมบาร์เดียได้ด้วยละก็ คงสามารถเล็งเห็นถึงผลสำเร็จที่จะตามมาทางด้านการค้าเลยไม่ใช่หรือครับ คิดเห็นเช่นไรครับ เจ้าตระกูลดิลลาร์ด”

สายตาของทุกคนมองจ้องตรงไปยังโรมาเชียร์ ดิลลาร์ด หัวหน้ากลุ่มการค้าลอมบาร์เดียกันอย่างพร้อมเพรียง

รูลลักเองก็เช่นกัน

“ข้า…”

โรมาเชียร์ ดิลลาร์ด ตอบเสียงเรียบ

“ข้าคิดว่าทั้งท่านชานาเนส ทั้งท่านแคลอฮันต่างก็ต้องเป็นตัวเลือกผู้สืบทอดที่ดีได้แน่นอนครับ แต่คิดว่านั่นยังไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด”

“หมายความว่ายังไงกัน”

เจ้าตระกูลทลทาร์ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยถามด้วยความตกใจ

“ยังมีตัวเลือกอื่นนอกจากท่านชานาเนสกับท่านแคลอฮันอีกหรือไงกัน ไม่สิ เจ้าตระกูลดิลลาร์ด เจ้าคงจะไม่…”

ไม่ได้พูดถึงท่านเบเจอร์หรอกใช่มั้ย

“เพียงแค่หมั้นหมายกันเท่านั้นเอง ยังไม่ได้มีการพูดคุยเรื่องแต่งงานอย่างเป็นทางการเสียหน่อย ส่วนเรื่องอายุที่ว่านั่น”

โรมาเชียร์ ดิลลาร์ด พูดพลางจ้องหน้าเจ้าตระกูลเฮย์ลิ่งตรงๆ ไม่หลบสายตา

“ถึงจะยังเด็ก ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ใช่ลอมบาร์เดียเสียหน่อยมิใช่หรือ”

พูดง่ายๆ ก็คือ มีสิทธิ์มากพอจะเป็นผู้สืบทอดคนหนึ่งเช่นกัน

บทสนทนาโต้เถียงแสดงความเห็นต่างๆ เป็นไปอย่างดุเดือด ก่อนที่ห้องประชุมจะตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง เมื่อหาข้อสรุปที่ลงตัวไม่ได้เสียที

แต่คราวนี้กระทั่งรูลลักเองก็ปิดปากแน่น จมอยู่กับภวังค์ความคิดของตัวเอง

เขารู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ต้องมีชื่อของชานาเนสกับแคลอฮันถูกเสนอขึ้นมา แต่การเสนอชื่อฟีเรนเทียผู้เป็นหลานสาวนั้น รูลลักเองก็ไม่ทันได้คาดคิดมาก่อนเช่นกัน

รูลลักลูบเคราที่ถูกตัดแต่งอย่างดี ขณะเดียวกันก็ชายตามองโรมาเชียร์ ดิลลาร์ด อยู่เงียบๆ

ในบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหมด แต่ไหนแต่ไรโรมาเชียร์คนนี้ก็เป็นคนที่รู้ความเคลื่อนไหวของรูลลัก และประเมินออกได้ดีที่สุดว่าแท้จริงแล้วรูลลักต้องการสิ่งใด

‘คราวนี้เองก็เช่นกัน ไม่อย่างนั้น หรือว่า…’

ในสมัยที่รูลลักยังหนุ่ม โรมาเชียร์เป็นหนึ่งในผู้คนที่เสนอชื่อรูลลักขึ้นเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าตระกูลเป็นคนแรกๆ

หลังจากนั้นจะว่ารูลลักกับโรมาเชียร์ ดิลลาร์ด เติบโตขึ้นมาด้วยกันก็ไม่ผิดนัก

แต่จู่ๆ คนคนนี้กลับเสนอเลือกฟีเรนเทีย

การกระทำเช่นนั้นย่อมมีน้ำหนักต่อการตัดสินใจของรูลลักอยู่มาก

ขณะเดียวกันก็พลันรู้สึกสงสัยขึ้นมาอย่างหนึ่ง

‘โรมาเชียร์มองเห็นอะไรในตัวเทียกันแน่’

ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะเสนอชื่อฟีเรนเทียขึ้นในการประชุมอย่างเป็นทางการแบบนี้โดยไม่มีเหตุผลใดรองรับอย่างแน่นอน

โรมาเชียร์ ดิลลาร์ด จะต้องมั่นใจมากอย่างแน่นอน

ว่าเทียจะเป็นคนที่เหมาะกับตำแหน่งเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียรุ่นต่อไปยิ่งกว่าแคลอฮันกับชานาเนส

‘จะต้องมีอะไรเก็บงำไว้เป็นแน่’

ความสงสัยของรูลลักเริ่มเติบโตแผ่กิ่งก้านสาขาขึ้นเรื่อยๆ

* * *

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]