เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] นิยาย บท 5

สรุปบท เล่ม 5 บทที่ 200.1: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]

เล่ม 5 บทที่ 200.1 – ตอนที่ต้องอ่านของ เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]

ตอนนี้ของ เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายแฟนตาซีทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง เล่ม 5 บทที่ 200.1 จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

เล่ม 5 บทที่ 200.1

ตอนที่ 200

เช้าวันต่อมา

บ้านพักตากอากาศตระกูลลอมบาร์เดียวุ่นวายกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง สมกับเป็นวันเริ่มต้นงานเทศกาลแข่งล่าสัตว์จริงๆ

เพราะบรรดาคนงานต่างก็พากันตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้ามืด ขยับตัวทำงานกันยุ่งวุ่นวาย

และในบรรดาคนเหล่านั้นก็มีคนงานที่ตามมาจากวังจักรพรรดินีด้วยเช่นกัน

สัมภาระมากมายที่ขนกันมาจากวังเพื่อคอยอำนวยความสะดวกให้แก่จักรพรรดินีตลอดงานเทศกาล กำลังถูกจัดเก็บขึ้นรถม้าใหม่อีกครั้งด้วยสองมือของเหล่าข้ารับใช้

“ไอ้เฒ่าน่ารังเกียจนั่น”

จักรพรรดินีนั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกด้วยสีหน้าหงุดหงิดจากอาการนอนไม่หลับ นางพึมพำเสียงลอดไรฟัน

“กล้าดียังไง…กล้าดียังไงมาหยามหน้าข้าแบบนั้น”

ใบหน้าของไอ้เฒ่าลอมบาร์เดียที่ฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ พาพวกเศษสวะตระกูลบราวน์มาแนะนำเมื่อคืนนี้ยังคงเด่นชัดอยู่ตรงหน้า โทสะของราวีนีจึงไม่คลายลงไปเลยแม้แต่น้อย

ปลายเล็บที่ถูกตัดแต่งอย่างประณีตของจักรพรรดินีจิกลงไปบนหนังสัตว์ที่ห่อหุ้มเบาะรองของเก้าอี้จนทะลุ

“ไอ้พวกแมลงน่ารำคาญฆ่าไม่ตาย”

หมายถึงตระกูลบราวน์พวกนั้น

หลังจากวันนั้นเมื่อ 40 ปีก่อน อังเกนัสก็ใช้กำลังคนมากมาย ทุ่มเทเวลารวมถึงเงินทุนไปกับการกวาดล้างตระกูลบราวน์

พวกเขาสั่งให้ตามสืบร่องรอยโดยเน้นไปยังคนที่ไม่มีมือข้างขวา หากยังมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายก็ให้จัดการสังหารทิ้งให้สิ้น แต่หากชีวิตลำบากยากแค้นก็ให้ปล่อยให้อยู่รอดต่อไป

แต่จู่ๆ พวกนั้นกลับรวมตัวกันยกโขยงกลับมาเป็นกลุ่มแบบนั้นเสียได้

“เมื่อวานข้าสมควรจะฆ่าพวกมันทิ้งให้หมด”

นัยน์ตาสีฟ้าของจักรพรรดินีส่องประกายอำมหิต

เขตแดนที่ตระกูลอังเกนัสลงหลักปักฐานในปัจจุบันเป็นผืนดินที่อย่างน้อยก็ยังถือว่าพอจะเพาะปลูกได้บ้างในตะวันตกอันแสนแห้งแล้ง และยังมีค่าพอที่จะให้ใช้ชีวิตอาศัยอยู่ต่อไปได้

นางไม่มีวันยอมให้ไอ้พวกตระกูลบราวน์ที่อ่อนปวกเปียกเสียจนกระทั่งผืนดินของตัวเองก็ยังรักษาเอาไว้ไม่ได้พวกนั้น มาช่วงชิงที่ดินผืนนี้กลับไปอีกครั้งแน่

หากเป็นเพียงแค่ลำพังตระกูลบราวน์ คงไม่จำเป็นต้องลังเลอะไรให้มากแบบนี้หรอก

ก็แค่แอบจัดการอย่างลับๆ ไม่ให้มีใครรู้เห็นอีกครั้งก็เรียบร้อย

แต่ว่า

“ไอ้เฒ่าตัวปัญหา”

รูลลัก ลอมบาร์เดีย ไม่ใช่คนที่รับมือด้วยได้ง่ายๆ

ขนาดนางเฝ้าระวังแล้วระวังอีก ครั้งนี้เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียก็ยังลอบแทงข้างหลังนางอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

“เห็นได้ชัดเลยว่าจักรพรรดินีไม่เคยได้รู้กระทั่งว่า ในสมัยอดีตจักรพรรดิได้เกิดเรื่องใดขึ้นบ้าง และตระกูลบราวน์ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้เพราะเหตุใด!”

คำพูดประโยคนั้นดูเหมือนจะไม่ได้พูดถึงเรื่องการบุกเข้าโจมตี เพราะยังไงเรื่องที่เกิดขึ้นก็ไม่มีประชาชนคนใดในอาณาจักรไม่ทราบเรื่องอยู่แล้ว

รูลลักพูดถึงสาเหตุที่ทำให้ตระกูลบราวน์ต้องสูญเสียเขตแดนไปชัดๆ

“ดิวอิจ”

เจ้าตระกูลอังเกนัสที่กำลังตรวจเช็กสัมภาระอยู่ในห้องข้างๆ เดินมาหาทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกของราวีนี

“เจ้าพอจะรู้อะไรเกี่ยวกับตระกูลบราวน์บ้างหรือเปล่า”

“หากเกี่ยวกับเรื่องเขตแดนแล้วละก็ ท่านพี่เองก็ทราบไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ว่าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ท่านพ่อเองก็ไม่ยอมปริปากพูดเกี่ยวกับปัญหาเรื่องนั้นเลย”

“ใช่ ใช่แล้ว ข้าก็แค่ลองถามดู เพราะคิดว่าเผื่อท่านพ่อจะเอ่ยถึงเรื่องนั้นกับบุตรชายบ้าง”

จักรพรรดินีพูด ในขณะเดียวกันก็ไม่อาจเก็บซ่อนความรู้สึกผิดหวังในใจได้

“ท่านพ่อไม่เคยมีประโยชน์เลยจริงๆ ขนาดตายไปแล้วก็ยังเหมือนเคย”

จักรพรรดินีราวีนีพูดจาด่าทอผู้เป็นบิดาด้วยสีหน้าไม่แยแส

“คงต้องรีบกลับไปพบพวกผู้อาวุโสตระกูลอังเกนัสเสียแล้ว จะปล่อยเอาไว้แบบนี้ไม่ได้”

รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของรูลลักทำให้นางสังหรณ์ใจไม่ดีเอาเสียเลย

ความรู้สึกไม่สบายใจจนทำให้นางกระสับกระส่ายไม่หยุด มันเอาแต่ทรมานราวีนีอยู่เรื่อย

ยังไงถ้าเป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์สมัยนั้นก็ย่อมต้องรู้เรื่องอะไรบางอย่างแน่

“เสด็จแม่”

ในตอนนั้นเอง อาสทาน่าก็เดินเข้ามาในห้อง

“จะเสด็จไปไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อคราวก่อนที่จู่ๆ ก็เรียกตัวเฟเรสมาร่วมงานเลี้ยงมื้อเย็นในวังจักรพรรดินีอย่างกะทันหัน นางก็คิดอยู่แล้วว่าเด็กคนนั้นฉลาดยิ่ง แต่ไม่นึกเลยว่าจะมีความสามารถเกินวัยขนาดนี้

จักรพรรดินีราวีนีแย้มรอยยิ้มเอื้ออารีให้อาสทาน่าที่ยังคงเบิกตากว้างมองนางด้วยความไม่เข้าใจเหมือนเคย

“เจ้าชายของเราไม่จำเป็นต้องทราบเรื่องใดก็ได้ค่ะ ทั้งหมดมารดาคนนี้จะเป็นคนจัดการให้เอง ต่อให้ต้องใช้วิธีการใด ก็จะผลักดันเจ้าชายให้ขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ให้จนได้”

เสียงหวานดั่งน้ำผึ้งแท้จริงแล้วเป็นเพียงกุหลาบที่แฝงไปด้วยหนามแหลมคม

“ถะ…ถ้าอย่างนั้น เสด็จแม่”

อาสทาน่าลังเล ก่อนจะตัดสินใจพูดออกไป

“ให้กระหม่อมกลับวังด้วยได้มั้ยพ่ะย่ะค่ะ…เข้าร่วมเทศกาลบ้าๆ นี่ แล้วเกิดกระหม่อมได้รับบาดเจ็บหนักขึ้นมาจะทำยังไงพ่ะย่ะค่ะ ดังนั้น…”

“ไม่ได้”

จักรพรรดินีราวีนีส่ายหน้าปฏิเสธหนักแน่น

“ในเวลาแบบนี้ถ้าเจ้าชายเอาแต่แสดงท่าทีอ่อนแอออกมา พวกเราสองแม่ลูกอาจจะได้ยินแต่เสียงหัวเราะเยาะของผู้คนก็ได้นะคะ”

“แต่ว่า…”

อาสทาน่าแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

ทั้งเรื่องเมื่อวานก็ด้วย แล้วนี่เมื่อเช้าตอนเขาตื่นนอนมองออกไปนอกหน้าต่าง ไอ้ป่าวิกลจริตที่มีหมอกหนาปกคลุมนั่นมันยิ่งดูน่าสยองจนขนหัวลุก

หัวใจที่เคยเต้นกระหน่ำด้วยความตื่นเต้นก่อนเข้าร่วมงานเทศกาลล่าสัตว์งานอื่น ตอนนี้กลับกลายเป็นเต้นอย่างรุนแรงด้วยความหวาดกลัวไปเสียแล้ว

“เทศกาลนี้ฝ่าบาทเองก็จะเข้าร่วมด้วย หากเจ้าชายยอมแพ้กลับเมืองหลวง อาจจะถูกเข้าใจผิดว่าหนีไปเพราะกลัวเจ้าชายองค์อื่นก็ได้นะคะ หรือจะเป็นอย่างที่ว่า”

เขากลัวจริงๆ นั่นแหละ

แต่อาสทาน่าก็ทำได้แค่ขยับปากอยู่หลายครั้งด้วยใบหน้าซีดเผือด ก่อนจะพยักหน้าลงด้วยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

“เจ้าชาย คอยเคลื่อนไหวไปพร้อมกับเด็กๆ จากตระกูลอื่นก็แล้วกันค่ะ แบนนั้นคงไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรอก”

จักรพรรดินีเอ่ย ขณะเดียวกันก็ลุกจากเก้าอี้เพื่อเดินไปขึ้นรถม้าด้านนอก

แต่อาสทาน่าก็ยังคงเอาแต่เหลือบมองป่าวิกลจริตอันแสนมืดมิดไม่ละสายตา

รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเอาเสียเลย

* * *

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]