เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] นิยาย บท 5

สรุปบท เล่ม 5 บทที่ 200.2: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]

เล่ม 5 บทที่ 200.2 – ตอนที่ต้องอ่านของ เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]

ตอนนี้ของ เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายแฟนตาซีทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง เล่ม 5 บทที่ 200.2 จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

เล่ม 5 บทที่ 200.2

ในที่สุดก็ได้เวลาเริ่มงานเทศกาลแข่งล่าสัตว์กันเสียที

เธอเดินขึ้นไปยืนบนแท่นพิธียกระดับด้านหน้าบริเวณลานกว้างที่ผู้เข้าร่วมแข่งขันมารวมตัวกันอยู่ เพื่อที่จะอธิบายกฎของงานเทศกาลแข่งล่าสัตว์ให้ทุกคนได้ทราบ

และในวินาทีที่ขึ้นไปยืนอยู่เหนือแท่นพิธี

“อุ๊บ!”

เธอก็ต้องกัดปากแน่น ไม่ให้หลุดหัวเราะออกไป

“อะแฮ่ม ข้าขอแจ้งกฎการแข่งขันให้ทุกท่านรับทราบนะคะ”

เพราะผู้เข้าร่วมการแข่งขันที่มารวมตัวกันแต่ละคน ต่างก็มีสีหน้าไม่สบายใจจนแทบจะร้องไห้กันอยู่แล้ว

ถึงแม้ในบรรดาคนเหล่านั้นจะยังมีคนที่นัยน์ตาเป็นประกายระยิบระยับด้วยไฟแห่งความต้องการเอาชนะอยู่บ้างก็เถอะ

“กฎง่ายมากค่ะ นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปตลอดระยะเวลาสามวัน ผู้ที่ล่ามอนสเตอร์ได้มากที่สุดจะได้รับชัยชนะและเงินรางวัลไป ส่วนหลักฐาน ขอเพียงแค่ตัดชิ้นส่วนจากศพของมอนสเตอร์มายืนยันก็พอค่ะ”

แค่คำว่าตัดชิ้นส่วนจากศพ ก็มากพอจะทำให้หลายๆ คนมีสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความคลื่นไส้อยากอาเจียนกันเสียแล้ว

แกล้งอีกสักหน่อยดีมั้ยเนี่ย

“แต่จำใส่ใจไว้ให้ดีนะคะ มอนสเตอร์เป็นสิ่งมีชีวิตที่รู้จักไล่ล่ามนุษย์ด้วยเช่นกัน ดังนั้นอย่าได้เข้าไปในป่าลึก และหากตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายละก็ ขอให้ใช้พลุสัญญาณที่มอบให้ค่ะ”

คำพูดคราวนี้ของเธอ ทำให้คนที่มีสีหน้าซีดเผือดต่างก็รีบสำรวจพลุสัญญาณของตัวเองอย่างรวดเร็ว

“ระวังด้วยนะคะ พลุสัญญาณถ้าเปียกน้ำมันจะใช้การไม่ได้ และถ้าใช้พลุสัญญาณเมื่อไหร่ จะถือว่าถูกตัดสิทธิ์จากการแข่งขันทันทีค่ะ”

ในตอนนั้นเอง อาสทาน่าที่สวมชุดป้องกันสีเหลืองก็เอ่ยถามขึ้นมา

“ถึงแม้จะเป็นการแข่งขันส่วนบุคคล แต่การรับความช่วยเหลือจากคนอื่นในสถานการณ์อันตราย คงจะยอมรับได้ใช่มั้ย”

เด็กนี่ฉลาดเหมือนกันแฮะ

ในบรรดาผู้เข้าร่วมการแข่งขันในงานเทศกาลครั้งนี้ เธอรู้อยู่แล้วว่ามีหลายสิบคนเป็นลูกสมุนของอาสทาน่า

ดังนั้นถ้าได้รับคำตอบยืนยันจากเธอในตอนนี้ พอเข้าไปข้างในนั้นก็คงจะรวมกลุ่มกันแน่

“เป็นเช่นนั้นเพคะ แต่ก็อย่างที่บอกไป มันเป็นการแข่งขันส่วนบุคคล จึงไม่ควรที่จะรวมกลุ่มกันมากเกินความจำเป็น แน่นอนว่าเจ้าชายคงไม่คิดที่จะทำเช่นนั้นหรอกใช่มั้ยเพคะ”

อาสทาน่าพยักหน้ารัวๆ แทนคำตอบ

แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังลอบแลกเปลี่ยนสายตากับพวกคนสนิทที่ยืนอยู่ข้างหน้าตัวเอง ทั้งยังไม่ลืมที่จะยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกวางใจขึ้นมาอีกระดับ

“มีคำถามอีกมั้ยคะ”

เธอส่งเสียงถามผู้เข้าร่วมการแข่งขันทุกคน

ไม่มีใครยกมือขึ้นเลยสักคน

“ถ้าอย่างนั้น ข้าขอประกาศให้เริ่มงานเทศกาลแข่งล่าสัตว์กันเลยค่ะ”

เหล่าข้ารับใช้ตระกูลลอมบาร์เดียยกธงขนาดใหญ่ขึ้นโบกสะบัดกันอย่างพร้อมเพรียง

งานเทศกาลแข่งล่าสัตว์ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการแล้ว!

หลายคนวิ่งตรงไปในป่าราวกับเฝ้ารอจังหวะนี้อยู่แล้ว พวกเขาดูตื่นเต้นกันมาก เพราะนี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะได้หลุดพ้นจากชีวิตความเป็นจริงอันแสนเบื่อหน่าย แล้วไปเจอเรื่องสนุกๆ เร้าใจกันบ้าง

“คนแบบนั้นน่ะ ตายไวที่สุด”

แต่แล้วตอนที่เธอพึมพำเสียงแผ่วขณะมองตามหลังคนที่วิ่งไปเป็นกลุ่มแรกๆ

ก็เหลือบไปเห็นเฟเรสพาสามสหายจากอะคาเดมีเดินเข้าไปใกล้อาสทาน่า

ถึงแม้ระยะห่างจะค่อนข้างไกลจนเธอไม่ได้ยินว่าพวกเขาพูดอะไรกันก็เถอะ แต่ระหว่างสองคนนั้นจะไปมีคำพูดดีๆ ต่อกันได้ที่ไหนล่ะ

นั่นไง

พอเฟเรสพูดอะไรไม่กี่คำ ใบหน้าของอาสทาน่าก็ซีดเผือดจนไร้สีเลือด แล้วรีบพาสหายทั้งหลายของตัวเองมุ่งหน้าเข้าป่าไปอย่างร้อนรน ราวกับต้องการจะหนีไปให้ห่างจากเฟเรส

“พูดอะไรน่ะ ทำไมหมอนั่นถึงได้ทำท่าแบบนั้น”

เธอเดินเข้าไปถามเฟเรส

“เทีย”

เฟเรสยิ้มให้เธอจนตาหยี

“หรือเตือนว่าจะลอบฆ่ากัน”

“เปล่า ไม่ใช่แบบนั้นหรอก ก็แค่”

เฟเรสส่ายหน้าพลางเอ่ยตอบ

“แค่บอกว่า เข้าป่าไปแล้ว ไม่เผชิญหน้ากับข้าจะเป็นการดีที่สุด”

ว้าว โหดชะมัด

ถ้านั่นไม่เรียกว่าคำเตือนการลอบสังหาร จะเรียกว่าอะไรได้อีกยะ

เฟเรสเอียงคอมองมาด้วยความไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงได้ยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดปากเงยหน้ามองเขาแบบนี้

“เพราะว่า…”

เธอมองตรงไปยังป่ามืดมิดที่ยังคงปกคลุมไปด้วยหมอกหนาอีกครั้ง ในขณะที่เอ่ยตอบออกไป

“ไม่ว่าจะข้าหรือเฟเรส ต่างก็เป็นคนที่พร้อมจะลงมือทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการยังไงล่ะคะ”

* * *

มันเป็นเรื่องแปลกประหลาดเหลือเกิน

ผู้คนตั้งมากมายบุกเข้าไปในป่า

แต่ป่ามืดมิดที่ปกคลุมไปด้วยหมอกหนากลับมีแต่ความเงียบสงบ

ราวกับป่าวิกลจริตมันกลืนกินเสียงของผู้คนไปจนหมดสิ้น

“พลังเวทเข้มข้นสุดๆ เพราะแบบนี้สินะ พวกมอนสเตอร์ถึงได้มารวมตัวอยู่อาศัยกันอย่างหนาแน่น”

เทดโร่วพูดขึ้น

“พวกคุณชายน้อยตระกูลชั้นสูงทั้งหลายคงเหงื่อแตกพลั่กแล้วมั้ง”

สติลลีย์หัวเราะคิกคัก

“เจ้าก็เป็นคุณชายน้อยตระกูลชั้นสูงไม่ใช่หรือไง”

ผู้พ่ายแพ้แห่งตะวันออก ริกนีเต้ บุตรชายจากตระกูลรูมันขมวดคิ้วแน่น ในขณะที่เอ่ยถามขึ้น

“อย่าเอาข้าไปเทียบกับไอ้พวกทึ่มนั่นเลย ข้าคนนี้น่ะเป็นถึงผู้สืบทอดตระกูลเซกเตอร์ผู้เรียนรู้วิธีการล่าสัตว์ เผชิญหน้ากับป่าสนทางใต้มาตั้งแต่เด็กเชียวนะ”

สติลลีย์ยักไหล่อย่างไม่แยแส

ในตอนนั้นเอง เฟเรสที่กำลังยกเท้าขึ้นพาดต้นไม้หนา ผูกเชือกรองเท้าให้แน่นก็เอ่ยเรียกชายหนุ่ม

“สติลลีย์”

“อื้อ เจ้าชาย”

“พอจะตามรอยได้มั้ย”

สติลลีย์แสยะยิ้มตอบรับคำถามของเฟเรส

“เรื่องแค่นั้นเอง ของกล้วยๆ”

ผู้สืบทอดตระกูลเซกเตอร์ซึ่งเวียนเข้าป่าสนทางใต้บ่อยจนเหมือนสวนหย่อมในบ้านตัวเอง ความสามารถพิเศษของสติลลีย์คนนี้ก็คือ ‘การตามรอย’ ไล่ล่าร่องรอยของเหยื่อที่กำลังตามล่า

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]