เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] นิยาย บท 6

สรุปบท เล่ม 6 บทที่ 224.1: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]

ตอน เล่ม 6 บทที่ 224.1 จาก เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

เล่ม 6 บทที่ 224.1 คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายแฟนตาซี เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

เล่ม 6 บทที่ 224.1

ตอนที่ 224

จักรพรรดินีราวีนีขมวดคิ้วแน่นเป็นปม

อย่าเชื่อในราชวงศ์งั้นหรือ

ตัวจักรพรรดินีราวีนีเองก็เป็นสมาชิกราชวงศ์อย่างแน่นอน ถึงแม้จะเกี่ยวดองผ่านทางการสมรสก็เถอะ

โครอีธาน อังเกนัส ยังคงถ่ายทอดคำพูดต่อ

“กระทั่งตระกูลบราวน์ผู้จงรักภักดียอมอุทิศทุกสิ่ง ก็ยังถูกทอดทิ้งได้อย่างไม่ไยดีเพียงแค่ลมปาก นั่นเป็นความโหดเหี้ยมของผู้ที่นั่งบัลลังก์ทุกพระองค์”

เถียงไม่ได้เสียทีเดียว

ตอนนั้นอังเกนัสเป็นคนที่ล่อลวงองค์จักรพรรดิ และจัดการลงมือสังหารตระกูลบราวน์ทั้งหมด

ทว่าตอนนี้เมื่อต้องมายืนอยู่ตรงกันข้าม ก็ยังต้องสังเกตให้แน่ใจว่าจิตใจขององค์จักรพรรดินั้นเอนเอียงไปทางฝ่ายใด

“สำหรับราชวงศ์ดิวเรลลี่แล้ว พันธมิตรตลอดกาลมีเพียงแค่ลอมบาร์เดียเท่านั้น อย่าได้นำชะตาชีวิตของอังเกนัสไปเดิมพันกับอารมณ์ของจักรพรรดิที่ผันผวนดั่งเกลียวคลื่น”

ราวีนียืนนิ่งอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไรอยู่พักใหญ่ ราวกับเสียงของโครอีธานไม่ได้เข้าหูนางแต่อย่างใด

นางยืนนิ่งเหม่อมองใบไม้แห้งเหี่ยวที่พัดปลิวไปตามแรงลม

และหมุนตัวเดินกลับไปยังห้องประชุม โดยที่เหลือทิ้งท้ายไว้เพียงแค่คำพูดประโยคเดียว

“มันสายไปแล้ว”

คำพูดที่ลอยมากับสายลมเย็นนั่น ทำให้โครอีธาน อังเกนัส หลุดหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว

‘อังเกนัสน่ะ สายไปแล้ว’

เพราะนั่นเป็นคำพูดประโยคสุดท้ายของจริงที่บิดาทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนสิ้นลม

‘ดังนั้นโครอีธาน แค่เจ้าก็ยังดี จงไปจากอังเกนัสเสียเถอะ’

แต่โครอีธานที่ถูกทิ้งไว้ตามลำพังได้แต่ส่ายหน้า

“ข้าจะจากอังเกนัสไปยังที่ใดได้ล่ะครับ ท่านพ่อ”

เรือนผมแซมเทาพลิ้วไหวไปตามแรงลมฤดูหนาว

คนที่สืบทอดสายเลือดของอังเกนัสอย่างเขา ก็มีแต่จะต้องใช้ชีวิตและตายลงไปพร้อมกับนามตระกูลอังเกนัสเท่านั้น

* * *

เวลาเดียวกัน ณ ห้องรับรองข้างห้องประชุมใหญ่

จักรพรรดิโยบาเนสเดินเข้ามาในห้องรับรองด้วยใบหน้ารำคาญใจในทุกสิ่ง

ตารางการประชุมอันแสนน่าหงุดหงิดและมีแต่ภาระให้ต้องแบกรับแบบนี้ พระองค์คิดแค่ว่าอยากจะให้มันจบไวๆ จะได้ออกไปล่าเหยี่ยวยามบ่ายเสียทีเท่านั้น

แกรก

เสียงแกรกเบาๆ ดึงความสนใจของโยบาเนส

“มีแขกสินะ”

โยบาเนสเอ่ยพูดด้วยเสียงไม่ค่อยจะพอใจนัก

แค่นี้พระองค์ก็อารมณ์เสียมากพออยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่อยากใช้ห้องนี้ร่วมกับใครหน้าไหนทั้งสิ้น

“กำลังดื่มชาสักแก้วก่อนเริ่มการประชุมพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

แขกที่ว่าคือเฟเรสนั่นเอง

“พอดีกระหม่อมไม่ค่อยอยากพบหน้าขุนนางที่นั่งกันเต็มห้องประชุมพวกนั้นเท่าไหร่น่ะพ่ะย่ะค่ะ”

โยบาเนสขมวดคิ้วแน่น ริ้วรอยลึกปรากฏชัดขึ้นบนใบหน้า

“เจ้าชายที่ยังเด็กกลับมีความคิดเช่นนั้นแล้วงั้นหรือ”

โยบาเนสแสร้งทำเป็นพูดแบบนั้นให้ตัวเองดูดี แต่ที่จริงเขาเองก็กำลังคิดเช่นเดียวกันกับเฟเรสนั่นแหละ

มันเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาอารมณ์เสียตั้งแต่ก่อนจะเริ่มการประชุม

เดิมทีโยบาเนสตั้งใจจะนั่งห่างไปคนละด้านกับเฟเรส แต่แล้วก็เปลี่ยนใจแสร้งทำตัวเป็นมิตร แล้วนั่งลงข้างเจ้าชายลำดับที่สองแทน

“กระหม่อมผิดเองที่เผลอคิดเช่นนั้นออกไป เป็นเพราะรู้สึกอึดอัดใจพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

เฟเรสพูดเสียงเรียบ ในขณะเดียวกันก็วางแก้วชาว่างเปล่าลงตรงหน้าจักรพรรดิอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วเอ่ยพูดต่อ

“แต่กระหม่อมไม่ทราบเลยว่า ฝ่าบาททรงทนกับเรื่องพวกนี้มาหลายสิบปีได้ยังไง พวกนั้นไม่เคยมอบสิ่งใดให้ราชวงศ์ มีแต่รับอยู่ฝ่ายเดียวมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”

จรู๊ก

คำพูดนั้นทำให้เฟเรสเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

“คิดว่าข้าจะไม่ทันได้สังเกตหรือไง”

“กระหม่อมเองก็คงจะเผลอเผยความรู้สึกในใจออกไปโดยไม่รู้ตัวพ่ะย่ะค่ะ”

“ฮ่าฮ่า ข้ามิใช่จักรพรรดิที่ชอบเมินเฉยหรือไร้ซึ่งไหวพริบเสียหน่อย”

ไม่รู้ว่าเพราะนานๆ ทีจะได้ดื่มชารสถูกปากแบบนี้หรือเปล่า โยบาเนสถึงได้ยิ้มผ่อนคลายอย่างหาได้ยาก

“มีเรื่องใดอยากพูดล่ะ เจ้าชาย”

เฟเรสแสร้งทำสีหน้าลำบากใจเพียงครู่ ก่อนจะเปิดปากพูด

“ให้คนรอบๆ ถอยไปก่อนได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

โยบาเนสสะบัดมือเบาๆ สั่งให้เหล่ามหาดเล็กออกไปรอด้านนอก

คนอื่นๆ รวมถึงหัวหน้านางกำนัลโอทัวร์ที่ยืนรอถวายการรับใช้อยู่ข้างๆ ต่างก็พากันเดินออกไปด้านนอก

พอเหลือกันแค่สองคนในที่สุด เฟเรสจึงค่อยเปิดปากพูดขึ้น

“ก่อนการประชุมจะเริ่มขึ้น กระหม่อมที่เรื่องอยากแจ้งให้ฝ่าบาททราบพ่ะย่ะค่ะ”

“ว่ามาสิ”

“ก่อนหน้านั้น”

เฟเรสเทน้ำชาร้อนกรุ่นลงในแก้วชาของโยบาเนสที่พร่องลงไปมากเพิ่มให้อีกแก้ว

“ดื่มชาเพิ่มอีกหน่อยเถอะพ่ะย่ะค่ะ”

จรู๊ก

เสียงเทน้ำชาดังขึ้นอีกครั้ง

“ฟังเรื่องนี้แล้วอาจจะทำให้ฝ่าบาทรู้สึกไม่สบายใจก็เป็นได้พ่ะย่ะค่ะ”

เฟเรสเอ่ยขึ้นในขณะที่ริมฝีปากแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนดั่งกลิ่นหอมของใบชา

* * *

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]