เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] นิยาย บท 6

สรุปบท เล่ม 6 บทที่ 235.2: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]

ตอน เล่ม 6 บทที่ 235.2 จาก เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

เล่ม 6 บทที่ 235.2 คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายแฟนตาซี เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

เล่ม 6 บทที่ 235.2

“ท่านพ่อ”

ชานาเนสเอ่ยเรียกรูลลัก

เสียงเรียกของบุตรสาว ทำให้รูลลักที่กำลังยืนอยู่ข้างหน้าต่างเฝ้ามองรถม้าที่เทียนั่งออกเดินทางสู่เมืองหลวงหมุนตัวกลับ

“มีเหตุผลอะไรกันคะ ที่ทำให้ฝ่าบาททรงสั่งให้เทียเป็นผู้จัดการเรื่องของตระกูลอังเกนัส”

ชานาเนสซึ่งหวงแหนในตัวหลานสาวเป็นพิเศษรู้สึกสงสัยในจุดประสงค์ที่แท้จริงของโยบาเนส

“ระแวงอำนาจของอังเกนัสมาตลอดชีวิต ตอนนี้กลับมอบหมายงานเช่นนั้นให้ผู้สืบทอดลอมบาร์เดียคนใหม่เป็นผู้รับผิดชอบ”

อำนาจในมือย่อมขึ้นอยู่กับภาระหน้าที่ที่แบกรับ

สำหรับพวกตระกูลชั้นสูงทั้งหลายที่ต้องการอยากได้เงินคืนจากอังเกนัส เทียจะกลายเป็นผู้ครอบครองอำนาจอันล้นพ้นที่พวกเขาต้องก้มศีรษะให้

“เพราะเจ้าชายลำดับที่สอง”

รูลลักตอบเสียงเรียบ

“คงคิดจะให้เก็บความรู้สึกที่มีต่อเทียลงไป ในระหว่างที่ต้องเผชิญกับความขัดแย้งของราชวงศ์กับลอมบาร์เดียน่ะสิ ในที่สุดโยบาเนสก็ทำเรื่องที่ถูกต้องเป็นอย่างคนอื่นเขาบ้างเสียที”

“ท่านพ่อเองก็เห็นด้วยหรือคะ”

“มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้มิใช่หรือ ข้าเองก็เป็นห่วงว่าเทียจะเจ็บปวดใจเหมือนกัน แต่ความสัมพันธ์บางเรื่องก็ต้องหักห้ามใจ หากคิดจะทำการใหญ่”

รูลลักยกยิ้มด้วยความขมขื่น ทว่าเสียงที่กล่าวออกมากลับหนักแน่น

ทว่าชานาเนสกลับส่ายหน้า

“ครั้งนี้ข้าไม่เห็นด้วยกับท่านพ่อเลยค่ะ”

“เหตุใดกัน”

“เพราะข้าคิดมาตลอดว่า อยากให้เทียได้ครอบครองทุกสิ่งน่ะค่ะ”

ใบหน้าของชานาเนสแย้มยิ้มขมขื่นยามกล่าวเช่นนั้น

“เป็นเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย แต่ก็สามารถมีชีวิตร่วมกันกับคนที่รักได้”

ชานาเนสพึงพอใจในชีวิตปัจจุบันของตัวเองมาก

ทำงานเพื่อตระกูล ในแต่ละวันได้รู้จักคุณค่าของชีวิต ไม่ได้สนใจที่ว่างข้างกายอะไรขนาดนั้น

นางเคยเลือกความรักเหนือตระกูล คราวนี้ก็แค่เลือกตระกูลแทนเท่านั้นเอง

แต่เทียไม่ใช่แบบนั้น

“เจ้าชายกับเทียต่างก็มีความรู้สึกลึกซึ้งต่อกัน ท่านพ่อเองก็น่าจะทราบนี่คะ”

“ข้าเองก็ไม่ได้ตาบอด จะไม่รู้ได้ยังไง”

ถึงแม้หลานสาวจะพยายามเก็บซ่อนความรู้สึกนั้นไว้ก็เถอะ แต่ทุกครั้งที่เห็นเจ้าหมาล่าเนื้อนั่น นัยน์ตาของเทียคู่นั้นก็มักจะส่องประกายระยิบระยับ เพราะฉะนั้นต่อให้รู้สึกภูมิใจในตัวหลานสาวที่เลือกจะใช้ชีวิตในฐานะเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียแทนที่จะใช้ชีวิตคู่กับคนรัก แต่เขาเองก็รู้สึกสงสารนางมากเหมือนกัน

“เทียน่ะ คิดที่จะตัดความสัมพันธ์กับเจ้าชายลำดับที่สอง แล้วใช้ชีวิตเพื่อตระกูลค่ะ เพราะนางเป็นเด็กแบบนั้น”

ชานาเนสพูดกับรูลลักที่ปิดปากแน่น พยักหน้าลง

“แต่เส้นทางที่ท่านพ่อเคยเลือกเดิน ใช้ชีวิตเพื่อตระกูลมาตลอด อยากจะให้เทียเดินไปบนเส้นทางนั้นจริงๆ หรือคะ”

รูลลักไม่อาจตอบอะไรออกไปได้ง่ายๆ

ใช้ชีวิตโดยยอมเสียสละทุกสิ่งเพื่อตระกูล แต่หลายๆ สิ่งที่ต้องสูญเสียไปนั้นกลับเป็นสิ่งที่สำคัญในชีวิตของคนคนหนึ่ง

รูลลักไม่เคยได้ใช้เวลาร่วมกับบุตรหลานตัวน้อย เขายอมรับว่าเขาไม่ใช่บิดาที่ดีเสียเท่าไหร่ และยิ่งไม่ใช่สามีที่ดีพอที่จะคอยดูแลภริยาที่ร่างกายอ่อนแอจนอาการแย่ลงในทุกๆ วัน

ทั้งหมดนั่นเป็นเพราะลอมบาร์เดีย

เพราะสำหรับรูลลักแล้ว ตระกูลย่อมมาก่อนสิ่งอื่นใด

‘หากมีชีวิตได้ใหม่อีกครั้ง คงไม่ใช้ชีวิตแบบนั้น’

มันเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด และรู้สึกเสียใจอยู่หลายต่อหลายครั้งตอนอยู่ข้างเตียงคนป่วย

หากมีชีวิตใหม่ได้อีกครั้ง

ถึงแม้จะเป็นแค่จินตนาการเพ้อฝัน แต่หากทำได้จริงละก็ เขาคงจะขอโลภมากกว่านี้ จะไม่เลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และจะครอบครองเอาไว้ทุกสิ่ง

รูลลักพยักหน้าลงอย่างช้าๆ

“ใช่แล้ว เจ้าพูดถูกต้องแล้วละ ชานาเนส”

และหลังจากรถม้าเคลื่อนตัวผ่านไป ประตูคฤหาสน์ลอมบาร์เดียก็ปิดลงอย่างเชื่องช้า รูลลักเหม่อมองภาพนั้นไปจนลับสายตา ในขณะที่เอ่ยพูดขึ้น

“ข้าเองก็เผลอทำให้เทียต้องเสียสละไปโดยไม่รู้ตัวสินะ”

เสียสละความรักที่ไม่มีวันหักห้ามใจได้แม้จะใช้ชีวิตไปจนแก่เฒ่า

ทั้งๆ ที่ตัวรูลลักเองก็รู้สึกเสียใจที่ตัวเองต้องใช้ชีวิตเพียงเพื่อตระกูลอย่างหน้ามืดตามัว แต่เขาก็ยังเอาแต่หวังอยากให้หลานสาวต้องแบกรับความเจ็บปวดเอาไว้ในใจ แล้วใช้ชีวิตต่อไปเพื่อลอมบาร์เดียเสียได้

* * *

“เป็นยังไงบ้างคะ เครย์ลีบัน”

เครย์ลีบันถอดแว่นสายตาสำหรับใช้ทำงานที่ไม่ได้สวมมาเสียนานออก ก่อนจะมองเธอยิ้มๆ

เธอพยักหน้าตกลง แล้วเริ่มเรียบเรียงเนื้อหาในสัญญากู้ยืมเงินอีกครั้ง

แต่แล้วเครย์ลีบันที่กำลังจัดการงานอย่างยุ่งวุ่นวายก็เดินเข้ามาพูดกับเธอ

“ดูท่าจะมีปัญหาแล้วละครับ ท่านฟีเรนเทีย”

* * *

“ต่อให้ขายทรัพย์สินของอังเกนัสทั้งหมด ก็ยังไม่พอจะจ่ายหนี้ที่มีได้”

เฟเรสเลิกคิ้วมองรายงานที่ได้รับจากทางสำนักราชการ

“พ่ะย่ะค่ะ เจ้าชาย ถึงแม้จะขายอสังหาริมทรัพย์ สินทรัพย์ และถอนเงินจากบัญชีทั้งหมดออกมาแล้วก็ตาม…”

“ทรัพย์สินของพวกผู้ใต้บังคับบัญชาล่ะ”

คำถามของเฟเรสทำเอาเจ้าหน้าที่สะดุ้งเฮือก

หากพูดออกมาตามตรงก็คือ ให้จัดการขายทรัพย์สินของบรรดาตระกูลใต้บังคับบัญชาทั้งหลายที่ลงเรือลำเดียวกันกับอังเกนัสด้วยถึงจะถูกต้อง

แต่ถ้าทำเช่นนั้น คงได้เกิดกระแสต่อต้านในสังคมชั้นสูงหนักกว่าเก่าเป็นแน่

“เจ้าชาย เรื่องนั้น…”

พอเห็นเจ้าหน้าที่ไม่ตอบอะไร แถมยังดูมีท่าทางลังเล เฟเรสก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่น

“ทางฝั่งลอมบาร์เดียมีความเห็นเช่นไรกับปัญหาเรื่องที่ว่านี้”

“ยังไม่ได้ลองพูดคุยกับทางนั้นพ่ะย่ะค่ะ แต่ไม่ว่าอย่างไรทางร้านค้าเพลเลสเองก็ถือเป็นเจ้าหนี้รายหนึ่งมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ เจ้าชาย”

เจ้าหน้าที่ลองถามเลียบเคียงในขณะที่ลอบสังเกตสีหน้าของเฟเรส

“หากทางลอมบาร์เดียทราบเรื่องนี้แล้วขอให้มอบลำดับความสำคัญให้แก่ทางร้านค้าเพลเลสก่อนล่ะพ่ะย่ะค่ะ…”

เงินทองขาดแคลน และยังมีคนอีกมากมายที่รอรับเงินชำระหนี้พวกนั้นอยู่

ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ลำดับความสำคัญจะถูกจัดเรียงตามอำนาจของตระกูล

“…ทำตามที่รักษาการเจ้าตระกูลเรียกร้อง”

นึกแล้วเชียว

แต่แล้วในจังหวะที่เจ้าหน้าที่พยักหน้าลง ตั้งใจจะตอบกลับไป

“เจ้าชาย สนทนากันสักครู่ได้มั้ยเพคะ”

เทียที่มองแค่ปราดเดียวก็รู้แล้วว่ากำลังหงุดหงิดน่าดู สาวเท้าเดินเข้ามาในห้องทำงานของเฟเรส

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]