สรุปตอน เล่ม 6 บทที่ 238.2 – จากเรื่อง เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] โดย Internet
ตอน เล่ม 6 บทที่ 238.2 ของนิยายแฟนตาซีเรื่องดัง เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
เล่ม 6 บทที่ 238.2
เฟเรสเฝ้ารอคำตอบของอาสทาน่าอย่างไม่รีบร้อน
‘พูดบ้าอันใด มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว’ ราวีนียิ้มเยาะข้อเสนอของเฟเรสอยู่ในใจ
ไม่ใช่ข้อเสนอรับรองความปลอดภัยของชีวิต และไม่ใช่ข้อเสนอที่จะรับรองอำนาจในฐานะเจ้าชายเสียหน่อย
ในสถานการณ์ที่ชีวิตอาจจะถูกปลิดจนหลุดลอยไปได้ทุกเมื่อด้วยข้อหากบฏ สิ่งที่เฟเรสเสนอเป็นค่าตอบแทนพวกนั้นมันช่างไร้ความหมายนัก
‘ไม่มีทางรับ…’
ฟึบ
รอยยิ้มของจักรพรรดินีเลือนหายไปจากใบหน้า เมื่ออาสทาน่าผลักไสมือของนางที่เคยโอบกอดเขาเอาไว้ออก
“…เจ้าชาย”
ราวีนีเรียกอาสทาน่าด้วยความตกใจ แต่อาสทาน่ากลับหลบสายตานาง ในขณะเดียวกันรอยยิ้มขบขันก็พาดผ่านขึ้นบนนัยน์ตาของเฟเรส
จักรพรรดินีสะดุ้งเฮือก ตั้งใจที่จะห้ามปรามอาสทาน่า
นางพยายามที่จะเอ่ยเตือนออกไปว่า อย่าได้ตกหลุมพรางคำล่อหลอกของเฟเรสที่ไม่ได้แม้แต่จะรับรองความปลอดภัยของชีวิตเด็ดขาด
“อะ…เจ้าชาย หากเชื่อข้อเสนอแบบนั้น…!”
“ตั้งแต่แรกก็ไม่ใช่ความผิดของข้าอยู่แล้วมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
อาสทาน่าแก้ตัวเสียงแผ่ว สายตายังคงไม่กล้ามองหน้าราวีนี
“ทั้งหมดเป็นเรื่องที่เสด็จแม่เป็นผู้จัดการเองคนเดียว จะลากข้าไปเกี่ยวด้วยมันไม่ยุติธรรมเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”
ราวีนีพับเก็บความคิดที่ตั้งใจจะช่วยอาสทาน่ากลับไป กลับกันนางกัดฟันแน่นด้วยโทสะเมื่อถูกโอรสของตัวเองทรยศ
“จะ…เจ้า…กล้าดียังไง…”
“ทั้งหมดนี่เป็นเพราะเสด็จแม่กับอังเกนัสโลภมากเกินไปมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ!”
อาสทาน่าปัดแขนของราวีนีที่ยังคงพยายามกอดตนไว้ออก ชายหนุ่มตะโกนเสียงดังในขณะที่ลุกพรวดยืนขึ้น
“ได้เป็นตระกูลของจักรพรรดินีในเขตแดนตะวันตกนั่นก็น่าจะพอใจแล้วสิ!โลภมากไม่รู้จักพอกันเสียที!”
อาสทาน่ากล่าวโทษราวีนี ก่อนจะหันไปยิ้มประจบประแจงเฟเรสแทน
“จะ…เจ้ากับข้าเป็นพี่น้องกันมิใช่หรือ พวกเรามีบิดาคนเดียวกัน พี่น้องที่มีสายเลือดเดียวกันครึ่งหนึ่ง!”
และเดินสะโหลสะเหลเข้าไปใกล้
“ไม่ว่าเจ้าจะสั่งอะไร ข้าจะทำตามที่เจ้าสั่งทุกอย่าง ไม่ว่าเสด็จแม่กับอังเกนัสจะเป็นเช่นไรก็ไม่เกี่ยวกับข้าเลย น้องชาย”
เฟเรสขยับกายเล็กน้อยหลบปลายนิ้วที่เอื้อมออกมาหา และออกคำสั่งแก่ผู้คุม
“พาตัวไป”
“เหอะ! ปล่อยข้า! ข้าเดินไปเองได้!”
อาสทาน่าถลึงตาจ้องพลทหารเขม็ง ก่อนจะรีบเดินออกไปจากคุก
“ข้าอยากได้ขนมปังอบใหม่กับเนื้อย่าง! รีบๆ ไปเตรียมมาเสีย!”
อาสทาน่าเดินห่างออกไปเรื่อยๆ ชายหนุ่มเหลียวกลับมามองราวีนีเป็นครั้งสุดท้าย
แต่มันก็เท่านั้น สุดท้ายอาสทาน่าก็รีบร้อนออกไปจากคุกราวกับกำลังหนี โดยทิ้งมารดาเอาไว้บนพื้นคุกเย็นเฉียบตามลำพัง
เจ้าคนโง่ ความปลอดภัยของอาสทาน่าจะยังมีอยู่ต่อไปจนถึงวันที่ได้รับใบสารภาพความผิดเท่านั้นแหละ
ถึงแม้เจ้าตัวดูท่าจะไม่ได้ฉุกคิดถึงเรื่องนั้นเลยก็เถอะ
เฟเรสแสยะยิ้มเยาะตามหลังอาสทาน่า
“ฮะ ฮ่าฮ่า…”
จักรพรรดินีทรุดกายลง ได้แต่หัวเราะเยาะตัวเองเสียงแผ่ว
นัยน์ตาเหม่อลอยหลุบต่ำมองพื้นคุกใต้ดิน
“เหตุใด เหตุใดจึงทำเช่นนี้กับข้า…”
“ก็แค่ช่วยตอบสนองความคาดหวังของพระองค์เท่านั้นเอง”
เฟเรสตอบเสียงขบขัน ทันใดนั้นราวีนีก็ตะโกนก้อง
“ได้แก้แค้นแล้วก็สมควรจะพอได้แล้วมิใช่หรือไร! แต่ก็อย่างว่าแหละ อย่างไรมันก็แค่ความรู้สึกชั่ววูบเท่านั้น! อีกไม่นานเจ้าเองก็จะต้องถูกความเจ้าคิดเจ้าแค้นนั่นกลืนกิน!”
และจับท้องหัวเราะเมื่อตระหนักได้ถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา
“ฮ่าฮ่า! ใช่แล้ว! เจ้าเองก็โดนแก้แค้นแล้วเหมือนกันสินะ! มัวแต่แก้แค้นข้าจนตัวเองต้องนั่งบัลลังก์! ดังนั้นต่อให้เป็นตายร้ายดียังไง เจ้าก็ไม่มีวันได้ครองคู่กับนังเด็กนั่นไปตลอดกาล!”
วะฮ่าฮ่าฮ่า!
เสียงหัวเราะบ้าคลั่งของจักรพรรดินีดังก้องไปทั่วคุกใต้ดิน
“ดี! เยี่ยมเหลือเกิน! จงใช้ชีวิตทนทุกข์ต่อไปเช่นนั้นเสีย!”
หยาดน้ำตาเอ่อคลอขึ้นในนัยน์ตาของจักรพรรดินี
ตุบ ตุบ!
ราวีนีใช้กำปั้นทุบหน้าอกตัวเองเสียงดังด้วยความอึดอัดใจ ทั้งๆ ที่ใบหน้ายังคงหัวเราะเหมือนคนขาดสติ
เพียงพริบตาเสียงหัวเราะก็กลายเป็นเสียงร้องไห้คร่ำครวญราวกับสัตว์ร้าย และจู่ๆ ก็พลันเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งอีกครา บางครั้งเสียงหัวเราะนั่นก็ขาดหายไปเสียเฉยๆ
“ฆ่าข้าเสียเถอะ จับข้าขึ้นลานประหารในฐานะจักรพรรดินีที่คิดลอบสังหารองค์จักรพรรดิ ต้องปิดฉากการแก้แค้นของเจ้าให้สมบูรณ์มิใช่หรือ”
น้ำเสียงแหบพร่าอ่อนระโหยอย่างไร้เรี่ยวแรงทว่าเฟเรสกลับส่ายหน้าปฏิเสธ
“เจ้าดูถูกข้าเกินไปแล้ว กับอีแค่ความตายของเจ้ามันจะไปพอได้ยังไงสำหรับการแก้แค้นของข้า”
เฟเรสโยนกระดาษแผ่นหนึ่งลงตรงปลายเท้าของจักรพรรดินี พร้อมกับวิธีการพูดจาที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลัน
“นั่นคือราชโองการปลดจักรพรรดินีลงจากตำแหน่ง ตอนนี้เจ้าไม่ใช่จักรพรรดินีแห่งอาณาจักรแลมบลูนี่อีกต่อไปแล้ว ไม่มีสิทธิ์กระทั่งขึ้นไปรับความตายบนลานประหาร”
มือผอมแห้งของราวีนีเอื้อมไปหยิบราชโองการสั่งปลดขึ้นมาถือไว้อย่างยากเย็น
เธอเอ่ยพูดกับเครย์ลีบันในขณะที่เดินออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลอังเกนัส
“คงงานยุ่งมากน่ะครับ ต้องรับหน้าที่จัดการงานขององค์จักรพรรดิแทนทั้งหมดมิใช่หรือครับ”
“อา อย่างนั้นนี่เอง”
อาการขององค์จักรพรรดิอย่างไรก็ไม่มีวันดีขึ้นภายในวันนี้หรือพรุ่งนี้อยู่แล้ว ดังนั้นก็ต้องมีใครสักคนคอยจัดการงานที่กองสุมแทนอยู่แล้วนี่นะ
“ต้องทำตัวให้ชินให้ได้แล้วแท้ๆ”
เฟเรสจะเริ่มยุ่งขึ้นเรื่อยๆ เธอเองก็เหมือนกัน
ดังนั้นต่อไปก็คงไม่อาจไปมาหาสู่กันบ่อยๆ เหมือนเมื่อก่อนได้อีกแล้ว
ทั้งๆ ที่รู้อย่างนั้น ก็ยังเอาแต่รู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นกลางอกอยู่เรื่อย
เธอแสร้งทำเป็นไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวด ก่อนจะเอ่ยพูดกับเครย์ลีบัน
“ไปด้วยกันสิคะ เดี๋ยวข้าแวะไปส่ง”
“ขอบคุณครับ”
ภายในรถม้าระหว่างเดินทางกลับจากเมืองหลวงสู่เขตแดนลอมบาร์เดียนั้นเงียบสงัด ตอนนี้ก็น่าจะได้เวลาแล้วละมั้ง
“คือว่า ท่านฟีเรนเทียครับ”
ว่าแล้วเชียว ในที่สุดเครย์ลีบันก็ยอมเปิดปากพูดอย่างระมัดระวัง
“ว่ามาสิคะ เครย์ลีบัน”
คราวก่อนเครย์ลีบันเคยบอกไว้ว่ามีเรื่องอยากจะคุยด้วย
ตอนนี้ก็จัดการเรื่องตระกูลอังเกนัสจนเริ่มเรียบร้อยดีแล้ว เพราะฉะนั้นนี่ก็สมควรถึงแก่เวลาที่เครย์ลีบันจะกล้าพูดธุระเรื่องที่เคยเกริ่นไว้ว่าจะบอกเธอเมื่อคราวก่อนได้แล้ว
“ฮู่ว”
เครย์ลีบันถอนหายใจเสียงแผ่ว มองสบตาเธอในขณะที่หยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ
“นี่อะไรหรือคะ”
เธอถามกลับไปพลางกางกระดาษออกอ่าน
และรู้สึกราวกับมีเสียงดังตึงหล่นลงมาในอก
“นี่มัน…”
“เอกสารสัญญาว่าจ้างตลอดชีพที่ลงนามไว้ตอนก่อตั้งร้านค้าเพลเลสครับ”
เครย์ลีบันกระแอมไออีกครั้ง ก่อนจะพูดต่อ
“ช่วยจบสัญญานี่ให้ด้วยเถอะครับ”
ว่ายังไงนะ
“ข้าคงต้องลงจากตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มการค้าเพลเลสแล้วละครับ ท่านฟีเรนเทีย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]
น่าสนุก...