เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน นิยาย บท 171

สรุปบท ตอนที่ 171 เขาคือบุรุษที่เจ้ามิมีวันเอื้อมถึง: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 171 เขาคือบุรุษที่เจ้ามิมีวันเอื้อมถึง – เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน โดย Internet

บท ตอนที่ 171 เขาคือบุรุษที่เจ้ามิมีวันเอื้อมถึง ของ เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน ในหมวดนิยายนิยายแปล เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ตอนที่ 171 เขาคือบุรุษที่เจ้ามิมีวันเอื้อมถึง

หลังจากมู่หรงลี่จูจากไปแล้ว

ใบหน้าที่มักแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มอันมีเสน่ห์ของหลิวหรูเยียน ก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาภายในพริบตา

ขณะเดียวกันไออันเย็นเหยียบก็แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งชั้นบนสุดในฉับพลัน

“ทุกท่านหากมิอยากสร้างปัญหา ทางที่ดีอย่าได้เเพร่งพรายเรื่องในคืนนี้ออกไปเป็นอันขาด ! ”

หลิวหรูเยียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันเย็นเฉียบ พลางกวาดสายตามองทุกคนเล็กน้อย ก่อนจะหายตัวไปราวกับผีสาง

“สูด ! ”

หลังจากที่หลิวหรูเยียนจากไปแล้ว เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งก้านธูป

จูฟู๋และตี๋ซิวหยวนจึงได้สติกลับมา จากนั้นก็อดที่จะสูดหายใจเข้าลึก ๆ มิได้

“ท่านตี๋ สตรีเมื่อครู่นี้ท่านว่าดูคุ้นตาหรือไม่ ? ”

จูฟู๋ยกมือขึ้นลูบปาก พลางหันไปถามตี๋ซิวหยวนอย่างอดมิได้

ตี๋ซิวหยวนขมวดคิ้วมุ่น หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยอย่างครุ่นคิดว่า “คล้ายกับผู้ดูแลชั้นพิณของหอสายลมจันทราท่านนั้น… หรือว่ามิใช่”

“อืม ข้าก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน”

จูฟู๋พยักหน้าพลางกล่าวว่า “ผู้ดูแลท่านนั้นของหอสายลมจันทราต่างก็สุภาพสง่างาม ข้ารับใช้ก็นุ่มนวลอ่อนโยน”

จูฟู๋ส่ายศีรษะมิหยุดเมื่อกล่าวถึงตรงนี้ “มิใช่ ต้องมิใช่อย่างแน่นอน”

ตี๋ซิวหยวนพยักหน้าเห็นด้วย “ช่างเรื่องวุ่นวายเหล่านี้เถิด มาเริ่มเข้าม้วนภาพจะดีกว่า”

…………………….

อีกด้านหนึ่ง

หลังจากที่มู่หรงลี่จูออกจากหอจุ้ยเซียนแล้ว ก็มิได้กลับไปที่หอสายลมจันทราในทันที

แต่กลับเหาะไปทางวังหลวงของแคว้นต้าเยี่ยนแทน

ทว่าขณะที่นางใกล้จะถึงวังหลวงแล้วนั้น

เงาร่างหนึ่งที่ปกคลุมไปด้วยพลังอันแข็งแกร่ง ได้ทะยานขึ้นจากเบื้องล่างอย่างอุกอาจพร้อมกับขวางทางของนางเอาไว้

คนตรงหน้าที่ปรากฏตัวขึ้นก็คือผู้เฒ่าคนหนึ่ง

หากเย่ฉางชิงอยู่ด้วย ณ ที่นี้ แค่เพียงแวบเดียวก็คงจะจำได้ทันทีว่าผู้เฒ่าคนนี้แท้จริงแล้วเป็นใครกัน

ใช่แล้ว !

เขาก็คือหลิวฉางเหอแห่งจวนผู้กล้านั่นเอง

“ที่นี่เป็นเขตวังหลวงของแคว้นต้าเยี่ยน เชิญท่านถอยกลับไปจะดีกว่า”

แม้การได้รับวาสนามาจากเมืองเสี่ยวฉือ รวมทั้งการบำเพ็ญเพียรอย่างยากลำบากในช่วงนี้ จะทำให้ตบะบารมีของหลิวฉางเหอนั้นมีการพัฒนาขึ้นอย่างมาก จนเวลานี้เรียกได้ว่าตบะบารมีของเขานั้นอยู่ในจุดสูงสุดของระดับก่อกำเนิดแล้ว

แต่หลังจากที่เขาสัมผัสถึงพลังปราณที่แผ่ออกมาจากร่างของมู่หรงลี่จูแล้ว สีหน้ากลับเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น

เห็นได้ชัดว่าสตรีลึกลับที่เตรียมจะบุกเข้าวังหลวงผู้นี้ มีตบะบารมีที่สูงส่งกว่าเขามากเพียงใด

มู่หรงลี่จูปรายตามองหลิวฉางเหอเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้คนฟังถึงกับตกตะลึงงันว่า “ให้ฮ่องเต้แคว้นต้าเยี่ยนมาพบข้าเดี๋ยวนี้”

“ที่นี่… เป็นเขตวังหลวงของแคว้นต้าเยี่ยน เชิญท่าน…”

หลิวฉางเหอเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

แต่ขณะที่เขาเอ่ยยังมิทันจบประโยคนั้น กลับมีพลังปราณอันน่ากลัวพุ่งเข้าใส่เขาในทันที

เมื่อสัมผัสถึงอันตรายที่มิเคยพบมาก่อน

หลิวฉางเหอก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป ก่อนจะรีบปล่อยพลังออกมาต้านทานอย่างสุดกำลัง และถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว

เขาคาดมิถึงว่าสตรีลึกลับผู้มีตบะบารมีลึกล้ำผู้นี้จะลงมือเด็ดขาดเช่นนี้ แม้จะอยู่เหนือวังหลวงก็ยังกล้าลงมือได้

“ให้ฮ่องเต้แคว้นต้าเยี่ยนมาพบข้า ! ”

ตอนนั้นเอง มู่หรงลี่จูก็ได้ตะโกนขึ้นอีกครั้ง

ราวกับคำพิพากษาของเทพธิดา บัดนี้นางได้แผ่พลังอันน่าสะพรึงกลัวออกมาจากร่างอีกครั้ง

“นี่มัน…”

หลิวฉางเหอถึงกับร่นถอยไปหลายสิบจั้ง รู้สึกราวกับมีก้อนบางอย่างติดอยู่ในลำคอ จู่ ๆ ก็มิรู้ว่าตนนั้นควรจะเอ่ยสิ่งใดออกมาดี

บัดนี้เขามีตบะบารมีอยู่ในจุดสูงสุดของระดับก่อกำเนิด แต่ตบะของอีกฝ่ายเหนือกว่าเขามาก อย่างน้อยคงมีตบะอยู่ในระดับแดนเทวาขึ้นไปแล้ว

เวลานี้เกรงว่าคนที่จะสามารถรับมือกับนางได้ คงมีเพียงท่านบรรพบุรุษของราชวงศ์แต่เพียงผู้เดียวเสียแล้ว

และในตอนนั้นเอง

มุมปากของมู่หรงลี่จูก็โค้งขึ้นน้อย ๆ ก่อนจะเผยท่าทางอ่อนโยนแกมเขินอายออกมา “หลายปีมานี้ข้าออกค้นหาไปทั่วทั้งจงหยวน หวังเพียงพบเจอบุรุษสักคนที่คู่ควรกับข้า แต่ข้ากลับต้องผิดหวังมาตลอด”

“แต่วันนี้ท่านเย่กลับผ่านการทดสอบที่ข้าวางเอาไว้ อีกทั้งข้าได้เห็นภาพเหมือนของเขาแล้วก็รู้สึกพอใจอย่างมาก เช่นนั้นจึงได้มาถามถึงตัวตนและเบื้องหลังของเขากับเจ้า”

‘การทดสอบ ? ’

‘การทดสอบอะไร ? ’

‘หรือว่า… ในแต่ละชั้นของหอสายลมจันทราก็คือการทดสอบทั้งสี่ ? ’

ทันทีที่สิ้นเสียงของมู่หรงลี่จู

เยี่ยนเทียนซานและเยี่ยนหยางเหนียนต่างก็ชะงักงัน จากนั้นก็รู้สึกว่าร้องไห้มิออกหัวเราะก็มิได้

ใช่แล้ว !

มู่หรงลี่จูผู้นี้มิว่าจะชาติกำเนิดและเบื้องหลัง หรือว่าพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียร ทั่วทั้งใต้หล้าเกรงว่าคงมีเพียงมิกี่คนเท่านั้นที่เทียบได้

แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นแล้วจะอย่างไรเล่า ?

นางจะรู้หรือไม่ว่าท่านเย่ผู้นั้นสูงส่งเพียงใดกัน ?

เขาเป็นถึงยอดบุรุษที่มาจากสรวงสวรรค์ อย่าว่าแต่มู่หรงลี่จูเลย แม้แต่ตระกูลโบราณของนางเกรงว่าก็คงทำอะไรมิได้

ในสายตาของผู้อาวุโสเย่ ตระกูลโบราณมู่หรงของนางนั้นมิได้แตกต่างไปจากตระกูลมนุษย์ธรรมดา ๆ ตระกูลหนึ่ง !

อยากให้ผู้อาวุโสเย่เป็นผู้ชายของตัวเองงั้นหรือ ?

เกรงว่าเจ้าคงกำลังเพ้อฝันอยู่กระมัง !

ใช่แล้ว !

กำลังเพ้อฝันอยู่จริง ๆ !

เยี่ยนเทียนซานหันไปสบตากับเยี่ยนหยางเหนียนที่มีสีหน้านอบน้อม ก่อนจะเอ่ยกับมู่หรงลี่จูว่า “คุณหนูมู่หรง หากเป็นผู้อื่น ข้าย่อมบอกเจ้าทุกอย่างที่ข้ารู้ แต่เรื่องที่เกี่ยวกับท่านเย่ ขออภัยที่ข้ามิสามารถบอกให้เจ้าทราบได้”

มู่หรงลี่จูได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป ก่อนจะเอ่ยถามพลางขมวดคิ้วมุ่น “เพราะเหตุใดงั้นรึ ? ”

เยี่ยนเทียนซานนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางจริงจัง “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เขาเป็นบุรุษที่เจ้ามิมีวันครอบครองได้ เช่นนั้นข้าขอเตือนว่าเจ้าจงตัดใจเสียเถิด เพื่อมิให้ตระกูลโบราณมู่หรงของเจ้าต้องพบกับหายนะไปด้วย”

“ห๊ะ ! ”

มู่หรงลี่จูมีสีหน้าเย็นเยียบลงทันที

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน