ตอนที่ 176 ภาพนี้ของข้ามีมูลค่าเท่าใด ?
ตำนานเกี่ยวกับเจดีย์เสวียนหวงนั้นเก่าแก่มาก
ตามตำนานกล่าวว่าในยุคนั้น แม้สิ่งมีชีวิตบนโลกจะมีอยู่เพียงน้อยนิด ต่างก็ล้วนแต่มีความน่ากลัว
พวกเขามีพลังมหาศาลที่สามารถผลักภูเขาพลิกทะเลได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่ไร้ซึ่งสติปัญญาเท่านั้น
ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปนานเท่าใดมิทราบได้ ก็ได้มีบุคคลลึกลับท่านหนึ่งปรากฏตัวขึ้น
และได้ใช้หลักการฟ้าดินเพื่อช่วยให้สิ่งมีชีวิตบนโลกเกิดการตรัสรู้
มินานฟ้าก็ประทานเมฆมงคล รวมทั้งเจดีย์โบราณลึกลับหลังหนึ่งลงมา
เจดีย์หลังนี้ก็ถูกคนรุ่นหลัง เรียกต่อ ๆ กันว่าเจดีย์เสวียนหวง
แต่ด้วยเพราะตำนานนี้เก่าแก่เกินไป จึงมิพบแม้แต่ร่อยรอยการบันทึกของคนรุ่นหลังต่อจากยุคนั้นอีก
นับตั้งแต่นั้นจนถึงบัดนี้ ตำนานเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้จะบอกว่าตำราโบราณบางเล่มจะมีบันทึกอยู่บ้าง แต่แทบจะมิมีคนเชื่อว่าโลกนี้จะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้อยู่
เยี่ยนเทียนซานและมู่หรงลี่จูเองก็เช่นกัน
เช่นนั้นเมื่อพวกเขาทั้งสองคนได้เห็นเจดีย์โบราณหลังนั้น ท่ามกลางหมอกลาง ๆ รวมทั้งไอพลังอันน่ากลัวที่แผ่ออกมา
อีกทั้งนิมิตนี้ยังมาจากผู้อาวุโสเย่
เช่นนี้พวกเขาจึงอดคิดมิได้ว่ามีความเป็นไปได้มาก ที่จะเป็นเจดีย์เสวียนหวงในตำนาน
ถึงขนาดว่าพวกเขาเกิดความสงสัยขึ้น หรือผู้อาวุโสเย่ท่านนี้ก็คือบุคคลที่ไร้เทียมทานในตำนานท่านนั้น ?
แต่ความสงสัยนี้เยี่ยงไรก็เป็นเพียงแค่ความสงสัยเท่านั้น เพราะมิมีหลักฐานใด ๆ ยืนยัน อีกทั้งพวกเขาก็มิกล้าเอ่ยถามด้วย
แต่สิ่งที่พวกเขามั่นใจอย่างหนึ่งก็คือ
ผู้อาวุโสเย่ท่านนี้มิใช่คนที่พวกเขาจะสามารถคาดเดาถึงการมีตัวตนอยู่ของเขาได้ !
มินานเยี่ยนเทียนซานและมู่หรงลี่จูก็ได้รวบรวมสติ ตั้งใจฟังสิ่งที่เย่ฉางชิงกล่าวอีกครั้ง
“ทุกท่านต้องจำเอาไว้ว่า หากสวรรค์จะมอบภาระใหญ่หลวงให้แก่ผู้ใด พระองค์จะต้องทำให้เขารู้สึกทุกข์ระทม ร่างกายเหนื่อยล้า ท้องหิวโหย ร่างกายไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ทำให้ทุกการกระทำของเขามิเป็นที่พอใจ เพื่อกระตุ้นจิตใจให้เขาแข็งแกร่งและเพิ่มความสามารถที่ขาดมากขึ้น”
หลังกล่าวประโยคนี้จบ เย่ฉางชิงก็เพิ่งจะรู้ตัวและรู้สึกว่ามีบางอย่างที่แปลกขึ้นเรื่อย ๆ
เพราะเขาสามารถพูดได้ยาวเกือบหนึ่งก้านธูปโดยมิรู้ตัว
นอกจากเขาจะมิรู้สึกเหนื่อยล้าแล้ว ยังมิรู้สึกคอแห้งแต่อย่างใดอีกด้วย
กลับกันตัวเขาเองเหมือนจะเข้าไปสู่สถานะบางอย่าง ทั่วทั้งร่างรู้สึกสบายอย่างบอกมิถูก กระแสพลังอันอบอุ่นไหลเวียนทั่วทั้งร่าง
ที่สำคัญที่สุดก็คือความคิดของเขากลับลื่นไหลราวกับน้ำพุ ที่ทะลักขึ้นมาจนมิอาจจะหยุดยั้งได้
‘นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ’
‘หรือว่าเราจะเข้าสู่วิถีแห่งเต๋าแล้วจริง ๆ ? ’
เย่ฉางชิงกุมมือของตัวเองทั้งสองข้างเบา ๆ ด้วยความตื่นเต้น ทว่ามินานสีหน้ากลับเผยความผิดหวังออกมา
มือทั้งสองข้างไร้ซึ่งพลังใด ๆ เมื่อความความอบอุ่นที่ไหลเวียนอยู่ค่อย ๆ จางลง ภายในร่างกายก็มิได้มีสิ่งใดผิดปกติอีก
‘คิดไปเอง ! ’
‘ใช่แล้ว ! ’
‘ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เราคิดไปเอง ! ’
เย่ฉางชิงคิดถึงตรงนี้ก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
แต่ในขณะที่เขาบังเอิญเหลือบไปมองพวกเยี่ยนเทียนซาน สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างอดมิได้
พวกเยี่ยนเทียนซานต่างก็มีสีหน้าเคร่งเครียด ดวงตาปิดลงราวกับกำลังพิจารณาคำพูดก่อนหน้านี้ของเขาอยู่
เย่ฉางชิงมองภาพตรงหน้าแล้ว อารมณ์ซึมเศร้าบางอย่างก็ค่อย ๆ คลายลงอย่างมาก
‘คนพวกนี้มิเพียงหลงใหลในอักษรและภาพวาดของเรา ขนาดคำพูดที่มีอยู่กลาดเกลื่อนก็ยังชื่นชอบถึงเพียงนี้’
‘ดี ! ’
‘ดีมาก ! ’
‘ดีจริง ๆ ! ’
เย่ฉางชิงจึงยิ้มออกมา แต่มิได้เอ่ยสิ่งใดอีก เพียงแค่หยุดมองที่มู่หรงลี่จูครู่หนึ่งเท่านั้น
เพราะมู่หรงลี่จูผู้นี้เป็นสาวงามที่มีบุคลิกเงียบสงบ
อีกทั้งรังสีที่แผ่ออกมาจากภายในของนาง ยังดึงดูดผู้คนได้เป็นอย่างดี
อีกอย่างเย่ฉางชิงก็คาดมิถึงว่าเพียงแค่พบกันครั้งแรก มู่หรงลี่จูที่ดูเย่อหยิ่งผู้นี้จะท่าทางหลงไหลเขาได้ถึงเพียงนี้
แต่มิรู้ว่าภาพนี้ของเขาในสายตาของมู่หรงลี่จูแล้วจะมีมูลค่าเท่าไรกันแน่
ส่วนมู่หรงลี่จูและพวกเยี่ยนเทียนซานเวลานี้ ยังคงได้ยินเสียงของเย่ฉางชิงดังก้องอยู่ในโสตประสาทเป็นระลอก
เสียงนี้ช่างอัศจรรย์ยิ่งนัก
ดังขึ้นในโสตประสาทของพวกเขาราวกับเสียงแห่งเต๋า ทำให้จิตใจของพวกเขาสงบนิ่ง จิตวิญญาณปลอดโปร่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน