เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน นิยาย บท 213

สรุปบท ตอนที่ 213 เต็มใจเป็นหมากของท่านบรรพจารย์เย่งั้นหรือ ?: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

สรุปตอน ตอนที่ 213 เต็มใจเป็นหมากของท่านบรรพจารย์เย่งั้นหรือ ? – จากเรื่อง เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน โดย Internet

ตอน ตอนที่ 213 เต็มใจเป็นหมากของท่านบรรพจารย์เย่งั้นหรือ ? ของนิยายนิยายแปลเรื่องดัง เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ตอนที่ 213 เต็มใจเป็นหมากของท่านบรรพจารย์เย่งั้นหรือ ?

“เจ้ามนุษย์ บัดนี้ในเมื่อเจ้าได้รับวาสนาจากนายท่านแล้ว เช่นนั้นตามหลักแล้วก็ควรช่วยอะไรนายท่านบ้าง”

“อีกอย่างข้าจะบอกให้เอาบุญว่า เจ้าใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว อาศัยเพียงแค่วาสนาที่นายท่านมอบให้ อาจจะมิสามารถบรรลุขั้นสูงสุดเพื่อก้าวสู่ระดับมหายานก็เป็นได้ เวลานี้สิ่งที่สมควรทำที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับความเป็นความตาย”

เสียงลึกลับนั้นแยกมิออกว่าเป็นเสียงบุรุษหรือสตรี ทว่ากลับเต็มไปด้วยอำนาจอันน่าสะพรึงกลัว

ซือถูเจิ้นผิงทราบดีว่า การที่เขามิอาจสัมผัสถึงตัวตนของอีกฝ่าย แต่เสียงลึกลับนี้กลับสามารถดังขึ้นในโสตประสาทของเขาได้

นั่นแสดงว่านายท่านของเสียงลึกลับนี้ จะต้องมีตบะบารมีที่สูงส่งกว่าเขาเป็นแน่

ที่สำคัญที่สุดก็คืออีกฝ่ายรู้ถึงสถานการณ์ยากลำบากของเขา และยังได้ให้คำแนะนำอีกด้วย

ดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นเก่งกาจเพียงใด

หลังจากนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ซือถูเจิ้นผิงจึงกัดฟันตอบกลับในใจว่า “เชิญผู้อาวุโสเอ่ยมาได้เลย ผู้น้อยจะพยายามทำอย่างเต็มที่ขอรับ”

มินานเสียงลึกลับก็ดังขึ้นอีกครา

“ทางเหนือของเมืองเสี่ยวฉือ ห่างออกไปหนึ่งแสนลี้ มีแดนอันตรายแห่งหนึ่งที่หลงเหลือมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล ที่นั่นมีหินหุนหยวนที่นายท่านต้องใช้ในการบำเพ็ญเพียรอยู่ ข้าอยากให้เจ้าไปตามหามัน”

“แน่นอนว่าหากเจ้าไปเพียงลำพังคงยากที่จะกลับมาได้ ก่อนหน้านี้ได้มีผู้น้อยผู้หนึ่งนามว่าหนานกงเสวียนจีก็เคยได้รับวาสนาจากนายท่านไป ให้เจ้าไปกับเขาก็แล้วกัน”

เสียงลึกลับเอ่ยออกมาอย่างสบาย ๆ ทว่ากลับแฝงไว้ด้วยความกดดันที่มิอาจต้านทานได้

วินาทีต่อมา ระหว่างที่ซือถูเจิ้นผิงกำลังรู้สึกลังเลอยู่นั้น

อากาศตรงหน้าเขาก็ค่อย ๆ สั่นสะเทือน เกิดระลอกคลื่นเป็นชั้น ๆ ขึ้นมา

มินานใบหลิวโปรงใสใบหนึ่ง ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของซือถูเจิ้นผิง

“หลังจากเข้าไปในแดนอันตรายแล้ว ย่อมมีอันตรายมากมายรออยู่ แม้แต่ตบะบารมีของเจ้าในตอนนี้เกรงว่าก็อยากที่จะเอาตัวรอดได้ ใบหลิวนี้จะสามารถปกป้องให้เจ้าปลอดภัยได้ชั่วคราว”

เสียงลึกลับดังขึ้นอีกครา

ซือถูเจิ้นผิงเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้คว้าใบหลิวเอาไว้ในมือ

ก่อนที่เสียงลึกลับจะหายไปในที่สุด

เวลาผ่านไปหนึ่งเค่อ

“สูด ! ”

ซือถูเจิ้นผิงสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนที่จะดึงสติกลับมาได้อีกครั้ง

‘ใบหลิว ! ’

ในที่สุดซือถูเจิ้นผิงก็คิดถึงสิ่งที่หนานกงเซวียนจีกำชับเอาไว้เมื่อสองวันก่อน

‘ต้นหลิว ! ’

‘สิ่งมีชีวิตโบราณ ! ’

‘นายท่านที่สิ่งมีชีวิตโบราณนี้เอ่ยถึง มิต้องเดาก็รู้ว่าจะต้องเป็นผู้อาวุโสเย่อย่างแน่นอน’

‘อีกทั้งผู้อาวุโสเย่ต้องใช้ของวิเศษฟ้าดินอย่างหินหุนหยวนในการบำเพ็ญเพียรอีกด้วย’

‘หินหุนหยวนนั้นแม้เป็นของวิเศษฟ้าดิน แต่ว่าภายในกลับแฝงจิตวิญญาณฟ้าดินที่ทรงอำนาจที่สุดเอาไว้’

‘แม้บัดนี้เราจะมีตบะบารมีอยู่ในขั้นสูงสุดของระดับถ้ำสวรรค์ เพียงเส้นบาง ๆ ก็จะสามารถเข้าสู่ระดับมหายานได้แล้ว แต่ก็ยังมิกล้าลองบำเพ็ญเพียรด้วยการกลั่นหินหุนหยวนมาก่อน’

‘เช่นนั้นผู้อาวุโสเย่ท่านนี้ มีตบะบารมีอยู่ในระดับใดกันแน่ ? ’

‘น่าเหลือเชื่อ ! ’

‘ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก ! ’

ในตอนนั้นเอง นักพรตฉางเสวียนจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “ผู้อาวุโสซือถู ท่านเป็นอะไรไปงั้นหรือ ? ”

ซือถูเจิ้นผิงนิ่งงันไป ก่อนจะส่ายหน้าพร้อมยกยิ้มฝืดเฝื่อนออกมา

“เจ้าสำนักไท่เสวียน ก่อนหน้านี้เป็นข้าที่บุ่มบ่ามเกินไป”

ซือถูเจิ้นผิงเอ่ยขอโทษนักพรตฉางเสวียน

นักพรตฉางเสวียนผงะไปเล็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว อย่าได้ใส่ใจอีกเลย”

ขณะนั้นเองก็มีลำแสงสายหนึ่งพุ่งลงมาจากท้องนภา สุดท้ายก็มาหยุดลงตรงหน้าของนักพรตฉางเสวียนและซือถูเจิ้นผิง

“ผู้อาวุโสหนานกง เหตุใดท่านถึงมาที่นี่ได้ ? ”

“ความจริงแล้วข้าเคยไปสำรวจรอบ ๆ แดนต้องห้ามแห่งนั้นมาก่อน ที่นั่นมีอันตรายซ่อนอยู่จริง ๆ แม้แต่ตบะของข้าในตอนนี้เกรงว่าก็มิอาจต้านทานได้”

หนานกงเซวียนจีถอนหายใจออกมา “ดั่งคำกล่าวที่ว่าวิถีแห่งฟ้าหาได้สมบูรณ์ไม่ ผู้บำเพ็ญเพียรเช่นข้าก็บำเพ็ญเพียรเพียงเพื่อหลุดพ้นจากชีวิตนี้”

“อีกทั้งผู้อาวุโสท่านนั้นก็บอกแล้วว่า ข้าและพี่ซือถูบัดนี้ใกล้จะก้าวเข้าสู่ระดับมหายานแล้ว หากต้องการที่จะบรรลุบางทีการเผชิญหน้ากับความเป็นความตาย อาจเป็นโอกาสและวาสนาหนึ่งของพวกเราก็เป็นได้”

ซือถูเจิ้นผิงได้ยินเช่นนั้นก็มีท่าทางโล่งใจ พร้อมกับพยักหน้าเห็นด้วย

“พี่ซือถู หากท่านมิติดขัดอะไร เช่นนั้นพวกเราก็ออกเดินทางกันเลยดีกว่า”

หนานกงเซวียนจีเอ่ยกับซือถูเจิ้นผิง

ซือถูเจิ้นผิงจึงยิ้มออกมา “เช่นนั้นก็ออกเดินทางกันเถอะ”

“เจ้าสำนักไท่เสวียน ถ้าเช่นนั้นพวกเราค่อยพบกันใหม่ก็แล้วกัน”

สิ้นเสียงรอบกายของหนานกงเซวียนจีและซือถูเจิ้นผิงก็สว่างวาบขึ้นมา ปล่อยพลังมหาศาลออกมาแล้วทะยานสู่ฟ้าไป

ต่อจากนั้นทั้งสองก็กลายร่างเป็นลำแสงสองสายมุ่งไปทางทิศเหนือในทันที

เมื่อเห็นทั้งสองจากไปไกลแล้ว

นักพรตฉางเสวียนกลับยังนิ่งอึ้งและเต็มไปด้วยความรู้สึกอันสับสนอยู่ที่เดิม

เขาคิดมิถึงว่าผู้แข็งแกร่งที่สุดแห่งยุคอย่างหนานกงเซวียนจีและซือถูเจิ้นผิง จะตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังแดนต้องห้ามของสิ่งมีชีวิตเช่นนี้

แม้พวกเขาสองคนจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งยุค แต่เยี่ยงไรเสียก็ยังมิได้เข้าสู่ระดับมหายาน

หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นจริง มิเพียงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเท่านั้นที่จะพบกับความสูญเสีย แต่เผ่ามนุษย์แห่งจงหยวนก็จะต้องพบกับความสูญเสียด้วยเช่นกัน

‘ทำเช่นนี้คุ้มค่าแล้วจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ? ’

‘หรือว่า… พวกเขาทั้งสองเต็มใจที่เป็นหมากของท่านบรรพจารย์เย่เยี่ยงนั้นหรือ ? ’

จนเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วยาม

นักพรตฉางเสวียนก็ได้ถอนหายใจออกมา

ก่อนจะหันกลับไปมองทางเมืองเสี่ยวฉือที่มีเมฆหมอกปกคลุม ราวกับสรวงสวรรค์ก็มิปาน

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน