ตอนที่ 252 ลัทธิเต๋าถึงคราววิกฤต
ลวดลายนี้ดูพิเศษยิ่งนัก
ขณะเดียวกันเมื่อเทียบกับลายอื่น ๆ แล้ว ยังดูซับซ้อนกว่าอีกด้วย
บนลวดลายที่มีวงกลมตัดผ่านกัน ลายเส้นมีความสมดุล ทอดยาวออกไปมิรู้จบ
แน่นอนว่าสำหรับเย่ฉางชิง
มิว่าจะใช้พู่กันวาดหรือว่าใช้มีดแกะสลักล้วนมิใช่เรื่องยาก เพียงแค่เวลาที่ต้องใช้ไปแต่แบบนั้นมิเท่ากันก็เท่านั้น
วินาทีต่อมา เมื่อเย่ฉางชิงขยับพู่กัน ทั่วทั้งเมืองเสี่ยวฉือก็ปรากฏนิมิตขึ้น
และในเวลานี้วิถีเต๋าบนโลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
ทันใดนั้นโลกของเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรก็เกิดความโกลาหลตามไปด้วย
ณ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน
ระหว่างที่เหล่าผู้นำของสำนักบำเพ็ญเพียรต่าง ๆ ในจงหยวนกำลังเดินออกจากตำหนักไท่เสวียน
จู่ ๆ ก็สัมผัสได้ว่าวิถีเต๋าที่เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้ง ทุกคนจึงมีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างอดมิได้
“พวกเจ้ารู้สึกได้หรือไม่ ? ”
“นี่มัน ! ! ! ”
“วิถีเต๋าเกิดการเปลี่ยนแปลง หรือว่าผู้อาวุโสเย่ท่านจะมิยอมแพ้ ? ”
“คงจะเป็นเช่นนั้น ! ”
“มิเข้าใจจริง ๆ ผู้อาวุโสเย่ทำเช่นนี้เพื่ออะไรกันแน่ ? ”
“คนระดับผู้อาวุโสเย่หาใช่ผู้ที่คนอย่างเราสามารถคาดเดาได้ พวกเราอย่าได้คิดเพ้อเจ้อจะดีกว่า”
“มิถูกต้อง ครานี้เป็นอีกวิถีหนึ่งงั้นหรือ”
ระหว่างที่ทุกคนกำลังถกเถียงกันอยู่นั้น
ดวงตาของนักพรตฉางเสวียนพลันเกิดประกายบางอย่างแวบผ่าน
“ครา… ครานี้ดูเหมือนจะเป็นวิถีการเวียนว่ายตายเกิด”
นักพรตฉางเสวียนขมวดคิ้วแน่น พร้อมกับเอ่ยออกมาด้วยท่าทางเคร่งเครียด
ครั้งก่อนตอนที่เขาเดินมาจากเมืองเสี่ยวฉือกับท่านบรรพจารย์เย่
เพราะคำพูดประโยคหนึ่งของท่านบรรพจารย์เย่ ทำให้เขาได้เข้าใจวิถีการเวียนว่ายตายเกิดระดับสูง
จนเมื่อพิธีแต่งตั้งจบลง เขาก็ได้ลองทำความเข้าใจวิถีการเวียนว่ายตายเกิดอย่างมิหยุดหย่อน และแล้วก็เกิดผลจริง ๆ
บัดนี้วิถีการเวียนว่ายตายเกิดมีการเปลี่ยนแปลง เขาย่อมสัมผัสได้อย่างชัดเจน
ทว่าเมื่อทุกคนได้ยินคำว่าการเวียนว่ายตายเกิด กลับมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
เพราะว่าวิถีการเวียนว่ายตายเกิดนั้นต่างจากวิถีอื่น ๆ
วิถีนี้ต้องเผชิญหน้าระหว่างความเป็นและความตาย จึงมีโอกาสเกิดความเข้าใจได้
แต่ว่าในยุคสมัยนี้
ลัทธิเต๋าในจงหยวนอยู่ร่วมกันอย่างพี่น้อง น้อยนักที่จะเกิดการเข่นฆ่ากัน
นอกจงหยวน เทือกเขาแดนใต้ได้เคยทำข้อตกลงมาตั้งแต่สมัยบรรพกาลว่า ต่างฝ่ายต่างจะมิบุกรุกดินแดนของกันและกัน
ส่วนฝ่ายมารที่แดนรกร้างทางเหนือ หลังจากสงครามครั้งใหญ่ในช่วงปลายของสมัยบรรพกาล ทำให้พลังชีวิตเกิดเสียหายอย่างรุนแรง จนถึงทุกวันนี้ก็ยังคงเก็บตัวอยู่อย่างเงียบ ๆ
ส่วนศาสนาพุทธทางซีม่อ นับแต่อดีต แม้จะมีหลักคำสอนที่ต่างกัน แต่แทบมิมีการทำศึกกันเลย
เช่นนั้นในยุคสมัยนี้จึงแทบมิมีใครสามารถทำความเข้าใจวิถีการเวียนว่ายตายเกิดได้
ทว่าบัดนี้การที่นักพรตฉางเสวียนเอ่ยเช่นนี้ออกมา จึงมิต่างอะไรกับการบอกทุกคนว่า เขาสามารถเข้าใจในวิถีการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว
เมื่อเห็นทุกคนมองมาด้วยสายตาที่แปลกไป นักพรตฉางเสวียนจึงสารภาพออกมาว่า “ถูกต้อง ข้าได้รับการชี้แนะจากท่านบรรพจารย์เย่ จึงได้เข้าใจวิถีการเวียนว่ายตายเกิด”
ทุกคนสบตากันเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าพลางถอนหายใจออกมาเบา ๆ ด้วยความอิจฉาทว่ากลับแฝงเอาไว้ด้วยความจนใจ
และในตอนนั้นเอง ต้นหลิวที่ตั้งตระหง่านอยู่ในลานบ้านของเย่ฉางชิง ก็เกิดสั่นไหวน้อย ๆ ราวกับกำลังตื่นขึ้นมาก็มิปาน
ทันใดนั้นก็ปรากฏแสงไหลวนไปทั่วต้นหลิวทั้งต้น สัญลักษณ์โบราณมากมายปรากฏขึ้นดูอัศจรรย์ยิ่งนัก ราวกับต้นไม้เทพต้นหนึ่งที่ตั้งตะหง่านอยู่ตรงนั้น
ขณะเดียวกันไอพลังแห่งการเกิดใหม่ก็ได้แผ่ออกมา
พร้อมกันนั้นชาวเมืองเสี่ยวฉือที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่ในเวลานี้ มีหลายคนที่เข้าสู่ห้วงแห่งความฝันอันแสนวิเศษ ที่แตกต่างกันไปโดยมิรู้ตัว
อย่างเช่น ช่างตีเหล็กซ่ง
ในความฝันของเขา
เขาได้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่ไร้เทียมทานผู้หนึ่ง
เขากำลังยืนตระหง่านอยู่บนภูเขาเซียนอันอบอวลไปด้วยไอเซียน เบื้องล่างของเขามีเหล่าสาวกมากมายคุกเข่าหมอบกราบ และเฝ้ามองเขาด้วยความเลื่อมใสศรัทธา
คนขายเนื้อซุน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน