ตอนที่ 434 ที่บอกว่าไร้พ่ายเล่า ?
“ต้องยอมรับว่า มิว่าจะเป็นตบะบารมีหรือว่าความรู้แจ้งในเต๋าของพวกท่าน ล้วนแล้วแต่สูงส่งในระดับหนึ่งแล้ว”
หนานกงเสวียนจีค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน จากนั้นจึงทอดสายตามองไกลออกไป พลางส่ายหน้าและฝืนยิ้มออกมา “แต่ผู้น้อยมองว่าด้วยตบะบารมี รวมทั้งความเข้าใจในวิถีของตนเอง กลับหาได้อยู่ในสายตาของท่านเย่ไม่”
“ขอเรียนตามตรงว่าท่านเย่นั้น มิเพียงมีความแตกฉานในวิถีหมากถึงระดับที่คาดมิถึงแล้ว ทว่าแม้แต่วิถีอื่น ๆ ก็ล้วนแต่มีความแตกฉานถึงระดับที่น่ากลัวเช่นกัน นี่คือเหตุผลว่าทำไมตอนนั้นผู้น้อยเช่นข้า จึงมิกล้าที่จะคารวะท่านเย่เป็นอาจารย์”
เมื่อได้ฟังคำกล่าวนี้ อู๋ไท่เหอจึงเอ่ยออกมาอย่างแน่วแน่ว่า “มิว่าเยี่ยงไรหากยังมีชีวิตอยู่ ข้าจะต้องพบท่านเย่ผู้นี้สักครั้งให้จงได้”
“ผู้อาวุโส ท่านอาจจะยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับฐานะของท่านเย่อยู่กระมัง ? ”
หนานกงเสวียนจีส่ายหน้าไปมา พลางเอ่ยเสียงเรียบว่า “คนระดับท่านเย่นั้น หาใช่คนที่พวกเราอยากจะพบก็สามารถพบได้ตลอดเวลาไม่”
ทันทีที่สิ้นเสียงนี้ อู๋ไท่เหอก็นิ่งงันไป พร้อมกับมีท่าทีสลดลง ก่อนจะเอ่ยราวกับคนหมดอาลัยตายอยาก “ฟังเจ้ากล่าวแล้ว ก็มีเหตุผลจริง ๆ ”
ตอนนั้นเองขงซิงเจี้ยนก็ลูบหนวดของตนเอง พลางขมวดคิ้วน้อย ๆ “เวลานี้ข้าสงสัยจริง ๆ ว่า ท่านเย่ผู้นี้แท้จริงแล้วเป็นผู้ใดกันแน่ ในเมื่อเก่งกาจถึงเพียงนี้เหตุใดต้องลงไปยังโลกเบื้องล่างด้วยเล่า ? ”
อู๋ไท่เหอจึงเอ่ยแย้งขึ้นว่า “บนสวรรค์บูรพามีแคว้นถึงสามพันแคว้น ส่วนพวกเราเวลานี้เพียงแค่อยู่รอบนอกของสวรรค์บูรพาเท่านั้น ส่วนดินแดนที่อยู่อีกฝั่งของมหาสมุทรที่แท้จริง เกรงว่าคงกว้างใหญ่มิมีที่สิ้นสุด และมีผู้แข็งแกร่งอีกมากมายนับมิถ้วน อีกทั้งเหนือสวรรค์บูรพาก็ยังมีแดนเซียนโบราณในตำนานอีกด้วย”
“ดังนั้นเหนือฟ้ายังมีฟ้า พวกเราสามคนแม้จะบำเพ็ญเพียรมาหลายพันปี แต่สำหรับผู้ที่ไร้เทียมทานแล้ว พวกเราจะต่างอันใดกับกบในกะลากัน ? ”
เมื่อได้ยินดังนั้นขงซิงเจี้ยนก็ถึงกับกล่าวมิออกขึ้นมาเสียดื้อ ๆ
ส่วนหนานกงเสวียนจีกลับพยักหน้าเห็นด้วย
เอ่ยเพียงเท่านั้น อู๋ไท่เหอก็ยิ้มออกมา พร้อมกับเอ่ยเชิญหนานกงเสวียนจีว่า “เจ้าหนุ่ม พวกเรามาเดินหมากกันอีกสักตาเป็นเยี่ยงไร ? ”
หนานกงเสวียนจีส่งยิ้มกว้างกลับไปให้ พลางเอ่ยว่า “ได้เลยขอรับ”
หลังจากนั้น อู๋ไท่เหอและหนานกงเสวียนจีก็นั่งลงเผชิญหน้ากันอีกครา ก่อนจะเริ่มเดินหมากกันต่อ
ส่วนหนิงซู่ซู่และขงซิงเจี้ยนอยู่ดูสักพัก ก็ขอตัวกลับไปก่อน
เพียงพริบตา เวลาก็ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว
วันนี้เองเย่ฉางชิงที่ยังคงอยู่ในตำหนักเทพวาสนา ในที่สุดก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
“มิรู้ว่าข้าบำเพ็ญเพียรอยู่ในตำหนักเทพวาสนาแห่งนี้มานานเท่าไร โลกภายนอกจะผ่านไปกี่วันแล้ว ? ”
เย่ฉางชิงเอ่ยขึ้นขณะลืมตาขึ้นมา
ทว่าในวินาทีที่เขาลืมตาขึ้นมานั้น ก็ได้มีลำแสงหลากสีสันสองสายพุ่งออกมาจากดวงตา
เขากวาดตามองไปรอบ ๆ จากนั้นก็มองน้ำศักดิ์สิทธิ์ ที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดภายในสระบัวอย่างมิชอบใจเท่าไรนัก
“ไหนบอกว่าจะไร้พ่ายไงเล่า ? ”
“หากกลั่นน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในสระบัวหมด ก็จะสามารถเป็นผู้ไร้พ่ายมิใช่หรือ ? ”
เย่ฉางชิงเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยอย่างเจ็บใจว่า “ข้ากลั่นน้ำศักดิ์สิทธิ์จนแห้งเหือดไปเกือบแปดถึงเก้าส่วนแล้ว เหตุใดตบะบารมีในตอนนี้ถึงยังอยู่แค่ระดับแดนสร้างแก่นเล่า ? ”
ถูกต้อง !
บำเพ็ญเพียรมานานขนาดนี้
ระดับวิถีเซียนของเย่ฉางชิงก็ยังคงหยุดอยู่ที่ระดับแดนสร้างแก่นเช่นเดิม
แต่อยู่ห่างจากระดับแดนก่อกำเนิดเพียงแค่เส้นบาง ๆ กั้นอยู่เท่านั้น เชื่อว่าหากกลั่นน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เหลือภายในสระบัวจนหมด คงจะเพียงพอทำให้สามารถบรรลุตบะบารมีจนก้าวเข้าสู่ระดับแดนก่อกำเนิดได้
ทว่าตบะบารมีของเขาในตอนนี้ กับระดับไร้พ่ายที่เขียนเอาไว้บนกำแพง ความแตกต่างของทั้งสองระดับกลับมิได้ใกล้เคียงกันเลย เรียกได้ว่าต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยทีเดียว !
เช่นนี้จะให้เขารู้สึกพอใจได้เยี่ยงไรกัน !
คิดถึงตรงนี้เย่ฉางชิงก็ถอนหายใจออกมา ก่อนจะค่อย ๆ เอ่ยว่า “หากมิใช่เพราะข้าเป็นคนที่มักน้อยแล้วล่ะก็ วันหน้าข้าจะต้องมารื้อตำหนักเทพวาสนาของเจ้าเป็นแน่……”
หลังจากพร่ำบ่นอยู่สักพัก เย่ฉางชิงก็หลับตาลงอีกครั้ง แล้วจึงเริ่มโคจรเคล็ดเทพปีศาจโบราณและบำเพ็ญเพียรต่อ
ผ่านไปมิกี่อึดใจ หลังจากจุดเซินฉางทั้งหกตำแหน่งภายในร่างกายทยอยเปิดออก
วินาทีนี้ ภาพอันน่าสะพรึงกลัวก็ปรากฏขึ้น
เมื่อรอบกายของเย่ฉางชิงมิได้ปรากฏนิมิตดังเช่นเคย แต่ห้วงอากาศรอบ ๆ กลับเกิดการสั่นสะเทือน ก่อนจะปรากฏจุดเซินฉางทั้งหกตำแหน่งขึ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน