เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน นิยาย บท 435

สรุปบท ตอนที่ 435 สี่สำนักเซียนใหญ่รวมตัว: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 435 สี่สำนักเซียนใหญ่รวมตัว – ตอนที่ต้องอ่านของ เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนนี้ของ เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายนิยายแปลทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 435 สี่สำนักเซียนใหญ่รวมตัว จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ตอนที่ 435 สี่สำนักเซียนใหญ่รวมตัว

“เกิดอันใดขึ้นกันแน่ ! ”

“เหตุใดจู่ ๆ จึงเกิดนิมิตอันน่ากลัวเช่นนี้ขึ้นมาได้ หรือว่ามีบุคคลไร้พ่ายมาเยือนเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“มิใช่ ไอพลังหลักเต๋า ! ”

“ไอพลังหลักเต๋า ? อืม……ไอพลังหลักเต๋าอันบริสุทธิ์ ! ”

“นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ เหตุใดถึงมีไอพลังหลักเต๋าอันบริสุทธิ์เช่นนี้แผ่ออกมาได้ ? ”

“มัวกล่าวเรื่องไร้สาระอันใดกันอยู่ ไอพลังหลักเต๋าอันบริสุทธิ์เช่นนี้มิต่างอันใดกับโอกาสและวาสนาอันยิ่งใหญ่ รีบกลั่นเข้าไปภายในร่างกายเร็วเข้า ! ”

“อืม ศิษย์พี่ท่านนี้กล่าวถูก หากจู่ ๆ ไอพลังหลักเต๋ามลายหายไป พวกเราก็จะพลาดโอกาสและวาสนาอันยิ่งใหญ่นะ !”

“……”

“……”

หลังจากโต้เถียงกันอยู่สักพัก

หลังจากนั้น ทั่วทั้งนิกายกระบี่สวรรค์พลันตกอยู่ในความเงียบไร้ซึ่งเสียงใด ๆ ขนาดได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตกพื้น

ไล่ตั้งแต่ประมุขของนิกายกระบี่สวรรค์ เช่น เหยาห้าวหยาน ไปจนถึงสุนัขด้านนอกสำนักที่เพิ่งเกิดปัญญา

วินาทีนี้ทุกคนต่างนั่งสมาธิอยู่บนพื้น กลั่นไอพลังหลักเต๋าที่แผ่อยู่รอบกายอย่างบ้าคลั่ง

เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยาม

จู่ ๆ ก็มีคนบังเอิญเหลือบไปเห็นนิมิตที่อยู่ด้านบนของบันไดเมฆา จึงมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที พร้อมกับร้องออกมาด้วยความตกใจว่า

“พวกเจ้าดูนั่นสิ นั่นมันอันใดกัน ! ”

เมื่อได้ยินดังนั้นทุกคนต่างก็ลืมตา พร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปมองด้านบนของบันไดเมฆา

วินาทีต่อมา ทุกคนต่างก็ต้องตกตะลึงจนอ้าปากค้าง สายตาจ้องเขม็งไปยังด้านบนของบันไดเมฆา

ด้านบนของบันไดเมฆา แม้จะยังมีเมฆหมอกปกคลุม

ทว่าในเวลานี้กลับมีลำแสงหลากสีอันเจิดจ้ามากมาย ส่องออกมาจากส่วนลึกของชั้นเมฆ

ภาพฉากนี้เป็นมงคลยิ่งนัก

ตรงกันข้ามกับความน่าสะพรึงกลัวรอบ ๆ อย่างสิ้นเชิง

อีกทั้งลำแสงหลากหลายสีสันยังเสริมให้ บันไดเมฆานั้นดูราวกับเป็นสิ่งเชื่อมโยงของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์บางแห่ง ทำให้ผู้คนอดที่จะรู้สึกอยากขึ้นไปมิได้

แต่สิ่งที่ทำให้ตื่นตระหนกมากที่สุด ก็คือ ลึกเข้าไปในหมู่เมฆ เหมือนมีตำหนักโบราณอันลึกลับหลังหนึ่งปรากฏขึ้น

ตำหนักโบราณหลังนี้ยิ่งใหญ่อลังการ และเปล่งแสงอันเจิดจ้าออกมา สัญลักษณ์มากมายนับมิถ้วนลอยวนอยู่รอบ ๆ ราวกับตำหนักเทพก็มิปาน

‘ลึกเข้าไปในหมู่เมฆ เหตุใดถึงมีตำหนักลึกลับเช่นนี้ได้ ? ’

‘หรือสิ้งนี้ก็คือความลับที่ซ่อนอยู่ และครอบงำนิกายกระบี่สวรรค์มาหลายยุคหลายสมัยเยี่ยงนั้นหรือ ?’

‘แต่ตำหนักลึกลับหลังนี้เป็นสัญลักษณ์ของสิ่งใดกัน หรือมีอันใดซ่อนอยู่ในนั้นกันแน่ ? ’

‘คงมิใช่มรดกจากท่านประมุขรุ่นแรกหรอกกระมัง ?’

‘อืม !’

‘เป็นไปได้ !’

‘มิใช่สิ !’

‘ต้องเป็นเช่นนี้แน่ !’

ผ่านไปได้มินาน ขณะที่ทุกคนในนิกายกระบี่สวรรค์ต่างพากันคาดเดาไปต่าง ๆ นานานั้น

ภาพสุดอัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง !

ด้านบนของตำหนักโบราณที่อยู่ในส่วนลึกของหมู่เมฆ ราวกับมีดอกบัวลึกลับดอกหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ

‘ใช่แล้ว ! ’

‘มันคือดอกบัวจริง ๆ ! ’

ดอกบัวที่ดูธรรมดา ๆ ดอกหนึ่ง

ทว่าแค่มองดอกบัวดอกนี้เพียงแวบเดียว กลับทำให้จิตวิญญาณสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างห้ามมิได้ หน้ามืดตาลาย ราวกับได้เห็นสิ่งต้องห้ามในตำนาน

เพียงพริบตาเมื่อทุกคนทอดสายตามองขึ้นไปอีกครั้ง ดอกบัวดอกนี้กลับหายไปเสียแล้ว

โดยมิรู้ว่าแท้จริงแล้วเป็นเพราะเหตุใดกันแน่

และเพียงเวลาแค่มิกี่อึดใจ ความทรงจำเกี่ยวกับดอกบัวดอกนี้ กลับค่อย ๆ เลือนหายไปจากสมองของทุกคนจนหมด ช่างพิสดารยิ่งนัก

ส่วนลึกภายในสำนัก

ร่างสิบกว่าร่างก็โรยตัวลงมาจากฟ้ามาตรงหน้าของทุกคน

ในบรรดาพวกเขานั้น บางคนก็สวมเสื้อผ้าป่าน มีผมสีดอกเลา บนใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย

บางคนก็สวมชุดผ้าแพร ท่าทางองอาจ ใบหน้าเป็นมิตร ทั้งยังแผ่ความน่าเกรงขามออกมาอีกด้วย

และมีบางคนก็สวมเสื้อตัวยาว ใบหน้ายังดูอ่อนเยาว์ ทว่าดวงตากลับลุ่มลึกยิ่งนัก รวมทั้งยังแผ่ไอพลังอันน่ากลัวออกมาอีกด้วย

“ทุกท่านมิพบกันมาร้อยปี สบายดีหรือไม่ ! ”

อู๋ไท่เหอที่เป็นผู้นำของนิกายกระบี่สวรรค์ ประสานมือคารวะทุกคน พร้อมกับเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม

“ฮ่า ๆ พี่อู๋ ท่านเองก็สบายดีใช่หรือไม่ ! ”

“เอ๊ะ ? พี่อู๋ ไอพลังของท่าน ? ”

“ใช่แล้ว ถูกพวกท่านมองออกเสียแล้ว เมื่อสิบกว่าปีก่อน ข้าได้ตัดทอนวิถีกระบี่ และเปลี่ยนมาบำเพ็ญเพียรวิถีแห่งหมากแล้ว”

“โอ้โห พี่อู๋ช่างมีความกล้าหาญจริง ๆ มีตบะบารมีถึงระดับเซียนแล้ว ยังกล้าตัดทอนตบะบารมีของตนเอง และเปลี่ยนไปบำเพ็ญเพียรวิถีอื่นได้”

“ความกล้าหาญนี้ของพี่อู๋ หาใช่สิ่งที่พวกเราจะเทียบเคียงได้จริง ๆ ! ”

ระหว่างที่อู๋ไท่เหอกำลังทักทายบรรพจารย์จากสองสำนักเซียนใหญ่อย่างจวนหนานหลิง รวมทั้งนิกายจื่ออวิ๋นอยู่นั้น

บุรุษวัยกลางคนสวมชุดผ้าแพรเนื้อดี มีใบหน้าหล่อเหลาผู้หนึ่งกลับยกยิ้มที่มุมปาก

เห็นได้ชัดว่าบุรุษวัยกลางคนผู้นี้ก็คือ นักพรตเสวียนจีแห่งวังเสวียนจี นั่นเอง

“ตัดทอนวิถีกระบี่ เพื่อมาบำเพ็ญเพียรวิถีแห่งหมาก นับว่ามีความกล้ามิน้อย”

นักพรตเสวียนจียิ้มมุมปาก และเอามือไพล่หลัง พลางเอ่ยราวกับจะเยาะว่า “แต่วิถีแห่งหมากหาได้เหมือนวิถีกระบี่ไม่ หากมีประสบการณ์ด้านนั้นอยู่บ้าง การจะเข้าสู่วิถีย่อมมิใช่เรื่องยาก ทว่าหากต้องการประสบความสำเร็จในวิถีแห่งหมาก หาได้ง่ายดายดังเช่นที่เจ้าคิดไม่”

ทันทีที่สิ้นเสียงทุกคนต่างก็นิ่งงัน ประกายบางอย่างพาดผ่านแววตาในทันที

ทว่าขงซิงเจี้ยนกลับเอ่ยอย่างเกรี้ยวกราดว่า “หากความรู้แจ้งในวิถีแห่งหมากของศิษย์พี่อู๋สูงกว่าวิถีกระบี่ ความสำเร็จในภายภาคหน้า เกรงว่าคงมิอาจคาดเดาได้”

“หากเป็นวิถีกระบี่ข้ามิมีคุณสมบัติที่จะวิพากษ์วิจารณ์ได้ก็จริง แต่หากเป็นวิถีแห่งหมากแล้ว ข้าคิดว่าในหลิงโจวยังมิมีผู้ใดที่จะสามารถเทียบเคียงข้าได้”

ใบหน้าของนักพรตเสวียนจีปรากฏรอยยิ้มดูแคลนออกมา พร้อมเอ่ยเสียดสีว่า “อีกอย่างผู้แข็งแกร่งระดับพวกเรา เรื่องบางเรื่องก็คงมิต้องกล่าวออกมาตรง ๆ ก็ได้กระมัง ? ”

“เจ้า ! ”

ขงซิงเจี้ยนจ้องเขม็งด้วยความโมโห ก่อนจะแผ่ไอพลังอันรุนแรงและน่ากลัวออกมาจากร่าง

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน