เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน นิยาย บท 48

ตอนที่ 48 นักพรตฉางเสวียนรู้สึกอิ่มเอมใจ

จวบจนความมืดมิดปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณ เหล่าผู้อาวุโสของทั้งสองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่นั่งอยู่ภายในตำหนักไท่เสวียนจึงได้ทยอยเดินกันออกมา

ตามธรรมเนียมเหล่าผู้อาวุโสที่สนิทสนมจะกลับออกไปพร้อมกัน เพราะมีการจัดที่พักไว้ใกล้กัน

ผ่านไปครู่หนึ่งเหล่าผู้อาวุโสของทั้งสองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างพากันทยอยกลับไปพักผ่อน บัดนี้จึงเหลือเพียงเจ้าสำนักของทั้งสองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ยังคงอยู่ในตำหนักไท่เสวียนเท่านั้น

“พี่สวีตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว พวกเราสองคนก็ควรกลับไปพักผ่อนได้แล้วกระมัง ? ”

นักพรตฉางเสวียนลุกขึ้นยืน ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแดงก่ำเล็กน้อยเพราะฤทธิ์สุรา

ทว่าสวีฉิงเทียนกลับยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ราวกับมิได้คิดจะกลับไปพักผ่อนแต่อย่างใด

เขามีท่าทีลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นพร้อมกับเอ่ยว่า “พี่เหอได้โปรดช้าก่อน เวลานี้ภายในใจข้ายังมีข้อสงสัยมากมายนัก หวังให้พี่เหอช่วยไขความกระจ่างให้กับข้าด้วย”

‘มีข้อสงสัยงั้นหรือ ? ’

นักพรตฉางเสวียนชะงักไปเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของสวีฉิงเทียน จึงค่อย ๆ นั่งลงอีกครั้ง

เขารู้อยู่แล้วว่าเจ้าเฒ่าสวีฉิงเทียนต้องมีแผนการอะไรบางอย่างเป็นแน่

คงจะเป็นเรื่องที่หลี่ฉางหมิงเปลี่ยนไปบำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่ และเรื่องผู้อาวุโสที่เขากล่าวถึงก่อนหน้านี้คือเทพองค์ใดเป็นแน่

แต่เรื่องนี้สำคัญเยี่ยงนี้ ต่อให้สวีฉิงเทียนจะถามออกมาด้วยความจริงใจ เขาก็มิอาจที่จะให้คำตอบได้

หากสวีฉิงเทียนเกิดไปทำลายความสงบของท่านบรรพจารย์เย่เข้า ก็จะกลายเป็นความผิดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนไปด้วย

เช่นนั้นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับท่านบรรพจารย์เย่ เขามิมีทางบอกให้สวีฉิงเทียนรู้อย่างแน่นอน

แม้นักพรตฉางเสวียนจะคิดเช่นนั้น แต่ก็ยังคงตอบกลับไปตามมารยาทว่า “พี่สวีพวกเราสองดินแดนศักดิ์สิทธิ์มีมิตรภาพอันดีมาหลายพันปี ท่านมีข้อสงสัยอันใดก็เอ่ยออกมาได้เลย สิ่งใดที่ข้ารู้ย่อมต้องบอกให้ท่านทราบอยู่แล้ว”

“พี่เหอในเมื่อท่านพูดเช่นนี้ข้าก็ขอถามตามตรงก็แล้วกันนะ”

เมื่อเห็นนักพรตฉางเสวียนพยักหน้าให้ สวีฉิงเทียนจึงเอ่ยถามอย่างมิอ้อมค้อมอีก “ข้าอยากรู้ว่า ผู้ใดเป็นผู้ชี้แนะให้ผู้สืบทอดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเปลี่ยนไปบำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่ รวมทั้งผู้อาวุโสที่ท่านเอ่ยถึงก่อนหน้านี้เป็นผู้ใดกัน ? ”

หลังจากจบคำถาม ใบหน้าของนักพรตฉางเสวียนก็ยังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่เช่นเดิม ก่อนจะส่ายศีรษะไปมา

‘เหมือนสิ่งที่เขาคิดไว้มิมีผิด’

‘ที่คืนนี้สวีฉิงเทียนมีท่าทางครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา ก็คงเพราะคิดถึงเรื่องนี้อยู่สินะ’

“พี่สวีเรื่องนี้ข้ามิรู้จะพูดเช่นไรดี”

นักพรตฉางเสวียนแสร้งทำเป็นลำบากใจ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อย ๆ เอ่ยขึ้นว่า “ความจริงแล้วผู้อาวุโสที่ข้ากล่าวถึงนั้น เป็นผู้อาวุโสท่านหนึ่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ส่วนผู้อาวุโสท่านนี้เป็นใครกันแน่นั้น ต้องขออภัยด้วยที่ข้ามิอาจบอกได้”

สวีฉิงเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะถามออกมาตรง ๆ “เท่าที่ข้าทราบดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของพวกท่านมีผู้อาวุโสสูงสุดเพียงมิกี่คน หรือว่าจะมีผู้อื่นอีกเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

นักพรตฉางเสวียนยิ้มออกมาโดยมิได้มีพิรุธใด ๆ แม้แต่น้อย “พี่สวีเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน เกี่ยวข้องกับผู้อาวุโสของเรา ข้าต้องขออภัยด้วยที่มิอาจบอกเรื่องนี้ให้ท่านทราบได้จริง ๆ เช่นนั้นโปรดอย่าทำให้ข้าลำบากใจไปมากกว่านี้เลยดีกว่า”

ท่าทางหนักแน่นของนักพรตฉางเสวียน ทำให้สวีฉิงเทียนทำได้เพียงพยักหน้าอย่างจนใจ ก่อนจะลุกขึ้นและเดินออกไปจากตำหนักไท่เสวียน

แม้สวีฉิงเทียนจะมิได้มีท่าทีดึงดันและคำพูดที่ดูมิพอใจ แต่การเฝ้ารอถึงครึ่งค่อนวันแต่กลับมิได้รับคำตอบใด ๆ คาดว่าอารมณ์ของเขาตอนนี้คงมิได้ดีเท่าไรนัก

นักพรตฉางเสวียนมองเงาที่เดินจากไปของสวีฉิงเทียน ก่อนจะยกยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ

จากนั้นจึงได้ลุกขึ้นและเดินออกมาที่หน้าประตูตำหนักไท่เสวียน พร้อมกับยืนเอามือไพล่หลังไว้

และค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองจันทราที่ลอยเด่น ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ ขณะนั้นภายในใจก็รู้สึกอิ่มเอมใจขึ้นมา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน