ตอนที่ 88 จงบรรเลงเพลงต่อ จงระบำต่อไป
“นายท่านของข้าเป็นคนเช่นนั้นจริง ๆ ! ”
ดวงตาคมเข้มของราชันทมิฬมีประกายบางอย่างแวบผ่าน แล้วจึงเอ่ยด้วยท่าทางจริงจัง
“ราชันทมิฬ เช่นนั้นเจ้าช่วยพาข้าไปพบนายท่านของเจ้าได้หรือไม่ ? ”
หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งดูเหมือนว่าถูสือซานจะตัดสินใจครั้งใหญ่ได้ จึงเอ่ยขอร้องราชันทมิฬขึ้น
หลังได้ยินคำขอร้องเช่นนั้น แต่ราชันทมิฬก็มิได้แสดงท่าทางใด ๆ ออกมามากนัก ทว่าภายในใจของเขากลับเบิกบานราวกับดอกไม้แรกแย้ม
ในที่สุดถูสือซานก็ถูกเขาชักจูง จนเป็นฝ่ายร้องขอเพื่อไปพบนายท่านด้วยตัวนางเอง
เช่นนี้ก็เท่ากับว่าจะลดปัญหาที่ตามมาลงไปได้มากทีเดียว
มิแน่การพาถูสือซานกลับไปครานี้ อาจทำให้นายท่านดีใจจนมอบโอกาสและโชคอันยิ่งใหญ่ให้เขาอีกก็เป็นได้
แต่ในเมื่อถูสือซานเป็นคนเอ่ยปากเองเช่นนี้ คนที่ฉลาดหลักแหลมเช่นเขาจะตอบตกลงง่าย ๆ ได้อย่างไรกัน
“องค์หญิงสิบสาม ข้าว่าเจ้าคงเข้าใจบางอย่างผิดไป”
ราชันทมิฬแสร้งฉีกยิ้มพร้อมเอ่ยอย่างหนักใจว่า “ประการแรก แม้นายท่านของข้าจะเป็นคนสุภาพและเรียบง่าย แต่เยี่ยงไรเสียก็เป็นยอดปรมาจารย์ มิใช่ผู้ใดต้องการพบก็จะสามารถเข้าพบได้”
“อีกประการหนึ่ง ฐานะของเจ้าในตอนนี้ค่อนข้างล่อแหลม เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหน้าตาของเผ่าพยัคฆ์ดำและเผ่าจิ้งจอกวิญญาณของเจ้า ต่อให้ข้าอยากจะพาเจ้าไปพบนายท่าน แต่หากเกิดปัญหาขึ้น ข้าคงถูกเผ่าพยัคฆ์ดำและเผ่าจิ้งจอกวิญญาณของเจ้ารุมสังหารเป็นแน่”
เอ่ยถึงตรงนี้ดวงตาของราชันทมิฬก็หรี่ลง พลางเอ่ยอย่างเคร่งเครียดว่า “เช่นนั้นขอองค์หญิงสิบสามได้โปรดอย่าทำให้ข้าลำบากใจเลย”
เอ่ยจบราชันทมิฬก็ถอนหายใจยาว ๆ ออก ก่อนจะส่ายหน้าเตรียมที่จะจากไป
“ราชันทมิฬ คนในเผ่าข้าล้วนบอกว่าเจ้าเป็นผู้กระทำสิ่งใดโดยปราศจากความเกรงกลัวเสมอ คาดมิถึงว่าวันนี้เมื่อได้พบเจ้าจริง ๆ กลับมิได้เป็นเช่นคำเล่าลือ”
เมื่อเห็นราชันทมิฬกำลังจะจากไป ถูสือซานจึงเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน “อีกอย่าง ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยบอกเจ้าแล้วว่า ต่อให้ต้องทำลายตบะของตนเองและคืนสู่ร่างเดิม ข้าก็จะมิแต่งงานกับเฮยจวงเด็ดขาด ! ”
“หากเจ้ายอมพาข้าไปพบนายท่านของเจ้า แล้วเกิดเผ่าพยัคฆ์ดำและเผ่าจิ้งจอกวิญญาณของข้าตามมาจริง ข้าจะบอกพวกเขาเองว่าเป็นข้าที่เป็นคนขอร้องเจ้า เรื่องนี้หาได้เกี่ยวข้องกับเจ้าไม่”
ราชันทมิฬได้ยินดังนั้นก็หยุดฝีเท้าลง และหันไปเอ่ยกับถูสือซานที่งดงามราวกับเทพธิดาด้วยท่าทางเคร่งขรึมว่า “องค์หญิงสิบสาม เจ้าต้องการให้ข้าพาเจ้าไปจากเทือกเขาแดนใต้ เพื่อไปพบนายท่านของข้าที่อยู่ทางเหนือของจงหยวนจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
คิ้วเรียวงามของถูสือซานขมวดขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาคู่งามมองราชันทมิฬอย่างแน่วแน่ “หากนายท่านของเจ้าเป็นยอดฝีมือ ทั้งยังเป็นคนที่สง่างามและเรียบง่ายเช่นที่เจ้าบอกจริง ข้าถูสือซานสาบานว่าจะติดตามเขาไปชั่วชีวิต มิเช่นนั้นขอให้มิสามารถบรรลุวิถีแห่งเต๋าได้ชั่วชีวิต ! ”
ราชันทมิฬแสร้งทำเป็นขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะแยกเขี้ยวและพยักหน้าให้ “องค์หญิงสิบสาม ในเมื่อเจ้ากล่าวเช่นนี้แล้ว ข้าก็จะให้เจ้าได้เห็นว่าข้าเป็นเช่นไรในเทือกเขาแดนใต้”
ถูสือซานยิ้มหวานออกมา แล้วรีบเดินเข้าไปหาราชันทมิฬทันที
ในตอนนั้นเองราชันทมิฬก็ได้เอ่ยขึ้นอีกครั้งหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “องค์หญิงสิบสาม เพื่อนายท่าน ก่อนพาเจ้าไปจากเขาดอกท้อ ข้าจำเป็นจะต้องไปยังแดนต้องห้ามของเผ่าจิ้งจอกวิญญาณของพวกเจ้าเสียก่อน”
“แดนต้องห้าม ? ”
ถูสือซานชะงักงัน ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล “ราชันทมิฬ แดนต้องห้ามของเผ่าจิ้งจอกวิญญาณมีค่ายกลสังหารที่ท่านบรรพบุรุษวางเอาไว้ ต่อให้ท่านจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่หากค่ายกลสังหารเปิดออกขึ้นมา เกรงว่าแม้แต่ท่านก็อาจถูกสังหารด้วยค่ายกลนี้เป็นแน่”
ราชันทมิฬเอ่ยกับถูสือซานอย่างจริงใจว่า “ชีวิตนี้ของข้าได้นายท่านเป็นคนช่วยเอาไว้ เพื่อนายท่าน แม้ต้องตายอยู่ที่นั่นแล้วจะเป็นไรไปเล่า”
ดวงตาดำขลับของถูสือซานกะพริบปริบ ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นหลังจากชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง “เช่นนั้นข้าพาเจ้าไปก็ได้”
ราชันทมิฬพยักหน้ารับ
ถูสือซานเอ่ยขึ้นอีกว่า “แต่ว่าเจ้ามีเวลาเพียง 1 ก้านธูปเท่านั้น มิเช่นนั้นข้าก็มิอาจรับประกันได้ว่าเจ้าจะสามารถออกมาจากแดนต้องห้ามได้อย่างปลอดภัยหรือไม่”
ด้วยการนำทางอย่างคุ้นเคยของถูสือซาน มินานพวกเขาก็มาถึงแดนต้องห้ามของเผ่าจิ้งจอกวิญญาณ
แดนต้องห้ามแห่งนี้อยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของเขาดอกท้อ ทั้งยังเป็นหุบเขาที่เงียบสงบอย่างมากอีกด้วย
เมื่อมองเข้าไปจะเห็นแสงส่องอยู่ภายในหุบเขาและไอหมอกที่แผ่กระจายออกมา ช่างดูน่ากลัวยิ่งนัก
เมื่อถูสือซานและราชันทมิฬมาถึงปากทางเข้าหุบเขา พลันก็เกิดพายุโหมกระหน่ำเข้าใส่ ทั้งคู่ ทั้งยังมาพร้อมกลิ่นเหม็นเน่าจนแสบจมูกอีกด้วย
ถูสือซานชี้ไปยังศิลาก้อนใหญ่ตรงหน้าที่ดูคล้ายกับวางเอาไว้แบบส่ง ๆ แต่กลับมีการสลักลายโบราณมากมายเอาไว้ตรงด้านหน้า พลางกำชับว่า “ราชันทมิฬ จำไว้ว่าเจ้าต้องผ่านศิลาเหล่านี้ไปให้ได้ จึงจะสามารถเข้าไปภายในแดนต้องห้ามได้”
“เจ้าคงจะเห็นแล้วว่าบนศิลาเหล่านี้แกะสลักลวดลายเอาไว้มากมาย การจะเข้าไปยังแดนต้องห้าม เจ้าต้องเหยียบศิลาที่แกะสลักลายดอกท้อเหล่านี้ แต่หากเจ้าเหยียบพลาดขึ้นมา ค่ายกลสังหารก็จะถูกเปิดออกทันที”
ถูสือซานจ้องมองราชันทมิฬ พร้อมกับเอ่ยต่ออีกว่า “และหากเจ้าข้ามผ่านไปได้ ลายสลักบนศิลาเหล่านี้ก็จะหายไปเป็นเวลา 1 ก้านธูป เช่นนั้นเจ้าต้องกลับออกมาให้ได้ภายใน 1 ก้านธูป มิเช่นนั้นค่ายกลสังหารก็จะถูกเปิดออกเช่นกัน”
เมื่อเอ่ยจบถูสือซานก็เหลือบตามองไปทางราชันทมิฬอีกครั้ง ก็เห็นเขาแปลงกายเป็นลำแสงสีดำเหาะเข้าไปยังด้านในของแดนต้องห้าม ด้วยความเร็วที่น่าตกใจ
ถูสือซานมองร่างของราชันทมิฬจนลับตา ก็เผยรอยยิ้มอันมีเสน่ห์ขึ้นที่มุมปากพลางพึมพำกับตนเอง ‘เหตุใดราชันทมิฬผู้นี้ถึงมิเหมือนกับที่เขาล่ำลือกันเลย หรือว่าจะมิใช่ราชันทมิฬตัวจริง ? ’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน