หยุนหลิ่วไม่มีเหตุที่อยู่ต่อที่นี่แล้ว นางก็ไม่มีหน้าอยู่ต่ออีกหรอก
ซูหนานอีก็ไม่ได้ห้ามนาง สายตากวาดไปที่ทุกคนที่อยู่รอบข้าง ชูมือขึ้นมาทำความเคารพ"ขอบพระคุณทุกคนที่เป็นพยานนับที่นี้ ข้าซูหนานอี แม้เป็นลูกสาวของตระกูลค้าขาย แต่ปฏิบัติตามกฎระเบียบอยู่ตลอด ไม่เคยทำผิดกฎระเบียบ ยิ่งไม่เคยทำให้ชื่อเสียงของจวนอ๋องเป่ยลี้เสื่อมเสียด้วย"
"ผู้หญิงคนนี้เป็นคนของตระกูลซูเราก็จริง แต่เป็นแค่สาวใช้ของน้องสาวของข้าที่ออกโดยอนุภรรยา ตอนนี้ประสบอุบัติเหตุแล้วได้กลับมาก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว ส่วนเรื่องนี้ข้าก็จะเชิญเจ้าเมืองนครหลวงมาตรวจสอบด้วย!"
พอหยุนหลิ่วได้ยินคำพูดนี้ก็หยุดเอาไว้
ซูซืออวี้ก็เปลี่ยนสีหน้าไป"หนานอี เจ้า......จะแจ้งความหรือ?"
ซูหนานอีขมวดคิ้ว"ท่านพ่อ แม้ว่าชุนหลิงเป็นแค่สาวใช้ แต่ยังไงก็เป็นหนึ่งชีวิต แถมเรื่องนี้บังเอิญหรือเจตนาทำนั้น ยังยากที่จะตัดสินได้ ส่วนเรื่องแจ้งความนั้น......"
นางกระซิบอยู่ข้างซูซืออวี้ น้ำเสียงมีแต่พวกเขาพ่อลูกสองคนได้ยินเท่านั้น"ท่านพ่อจะให้เจ้าเมืองตรวจสอบ หรือจะให้จวนอ๋องเป่ยลี้ตรวจสอบ?"
ซูซืออวี้ตัวสั่นขึ้นมา เบิกตากว้างมองนาง ซูหนานอียิ้มใส่เขาเบาๆ แต่เขากลับรู้สึกว่าดวงตาคู่นี้เย็นชามาก เขาใจลอยไปสักพักหนึ่ง รู้สึกว่าผู้หญิงที่ฉลาดต่อหน้านี้ไม่ใช่ลูกสาวที่เฉื่อยชาของเขา แต่......
มีแต่ต้องสั่งให้คนยกชุนหลิงขึ้นรถม้า จากนั้นออกจากที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว เรื่องมันจบสิ้นลงไม่มีอะไรให้ดูอีก กลุ่มคนก็กระจายไป แต่เรื่องนี้จะต้องกลายเป็นเรื่องซุบซิบนินทากันของผู้คนในระยะสั้นแล้ว
ซูหนานอีกับหยุนจิ่งก็ไม่ได้กลับโรงน้ำชาอีก เพิ่งคิดจะจากไป แล้วพนักงานของโรงน้ำชาก็เดินหน้าขึ้นมา"ลูกชา ใบชาของท่านลืมเอาไป"
ซูหนานอีไม่ได้ซื้อใบชา นางเกิดความระมัดระวังขึ้นในใจ เห็นพนักงานยื่นมาก็ไปรับ ใต้ใบชามีกระดาษอยู่ เป็นลายมือของเซี่ยหล่าน นัดพบนาง
ซูหนานอีจับมือหยุนจิ่งอ้อมไปประตูหลังของโรงน้ำชา และตบเบาๆสามครั้ง
ไม่นานประตูก็เปิดออก
ซูหนานอีและหยุนจิ่งเข้าไปในประตู ที่นี่เป็นเรือนเล็ๆที่อยู่ข้างหลังของโรงน้ำชาจวี้ซิง ข้างหน้าเสียงดังมาก แต่ที่นี่เงียบสงบอยู่
ในเรือนได้ปลูกไม้ไผ่มากมาย ได้บรรเทาความร้อนออกไปหน่อยนึง
เซี่ยหล่านกำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะหินใต้ไม้ไผ่ ยิ้มใส่พวกเขาสองคน"มาลองชิมใบชาที่มาใหม่ของข้าสิ"
ซูหนานอีและหยุนจิ่งนั่งลง ยกแก้วน้ำชาขึ้นมาจิบ
"ใช้ได้อยู่ เจ้ามาถึงเมื่อไหร่?ทำไมแจ้งข้าด้วยวิธีนี้?ข้าเกือบจะไม่เชื่อ"
เซี่ยหล่านวางแก้วน้ำชาลง"นกพิราบส่งสารของข้ายังไม่กลับมา ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด"
ซูหนานอีตะลึง"ไม่ได้กลับ?"
เซี่ยหล่านพยักหน้า"ดูเหมือนว่า......"
เขายังพูดไม่จบ ก็เห็นหยุนจิ่งหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากอ้อมอก วางไว้ในมือ"คือมันหรือเปล่า?"
"......"เซี่ยหล่าน
"......"ซูหนานอี
เมื่อเห็นนกพิราบตัวนั้นไม่ขยับเลย ยังหลับตาอยู่ เซี่ยหล่านฟื้นสติกลับมาได้"เจ้าฆ่านกพิราบของข้าตายหรือ?"
หยุนจิ่งเบิกตากว้างและปฏิเสธ"เป็นไปได้ยังไง เสี่ยวเฮยไม่ตายหรอก มันแค่หลับไปเท่านั้นเอง!"
"เสี่ยว......เฮย?"เซี่ยหล่านรู้สึกสับสนชีวิต
ซูหนานอีทนความอยากหัวเราะเอาไว้ กัดริมฝีปากอย่างแรง"จิ่งเอ้อร์ นกพิราบตัวนี้เป็นไรหรือ?เจ้าเอามันไว้ในอ้อมอกตั้งแต่เมื่อไหร่?"
"ก็คือตอนที่ภรรยาไปสั่งพวกเสี่ยวเถาไง เห็นว่าเสี่ยวเฮยน่าสงสาร มันไม่อยากไป ก็เลยเอามันไว้ในอ้อมอก ให้มันได้พักผ่อนดีๆ"
หยุนจิ่งพูดอย่างตั้งใจ เหมือนกับว่ามันเป็นแบบนี้จริงๆ
เซี่ยหล่านเกือบจะบ้าคลั่งไปแล้ว"ท่านอ๋อง มันไม่ได้ชื่อว่าเสี่ยวเฮีย และก็ไม่ได้บอกว่าไม่อยากไป แถมมันก็ไม่ได้น่าสงสารด้วย"
*ทำไมเรียกเสี่ยวเฮยไม่ได้ล่ะ?มันมีขนสีดำไม่ใช่หรือ?"หยุนจิ่งเถียงกลับ"เจ้ายังให้มันบินไปบินมาทั้งวัน จากตะวันออกบินไปตะวันตก จากใต้บินไปเหนือ มันไม่เหนื่อยหรือ?เหนื่อยขนาดนี้ทุกวัน ทำไมถึงไม่สงสารล่ะ?"
"......"เซี่ยหล่าน
ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว
ซูหนานอีหัวเราะจนรู้สึกปวดท้องนิดๆ น้ำชาในมือเกือบจะซัดออกไป
หยุนจิ่งใช้นิ้วมือไปแตะหัวของนกพิราบ นกพิราบน้องออกมาเสียงหนึ่ง ค่อยๆลืมตาออกมา กระพือปีก ดูท่าทางนั้นเหมือนเป็นการบิดขี้เกียจ
"เจ้าดูสิ มันก็คือเหนื่อยแล้ว"หยุนจิ่งเหมือนหาหลักฐานได้
ซูหนานอีตบหัวของนกพิราบเบาๆ"เสี่ยวเฮย"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-จอมนางสะท้านพิภพ