หยุนชางเห็นหวังจินเหยียนมีสีหน้ากระฟัดกระเฟียด แล้วนางก็นึกไปถึงหลิวฉีเหยียนผู้สงบเสงี่ยมเรียบร้อย นางคิดในใจว่า คนสองคนนี้ช่างเข้าคู่กันได้ดีจริงๆ
"หลิวฉีเหยียนชอบขลุกอยู่แต่กับตำรับตำรา จะเอามาเปรียบเทียบกับเจ้าได้อย่างไร เจ้าน่าจะมองอะไรให้มันรอบคอบกว่านี้เสียหน่อยนะ" หยุนชางส่ายหน้าแล้วยิ้มออกมา
หวังจินเหยียนลุกขึ้นยืนแล้วกระทืบเท้าตึงตัง "จะมาว่าข้าไม่ได้นะ ก็ข้าเห็นว่าเขากล้ามาท้าทายข้า เลยคิดว่าเขาคงจะรู้จักทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง ใครจะไปคิด ว่าเขาจะอ่อนแอเช่นนั้น"
หยุนชางยิ้ม นางคิดในใจว่า นางได้ให้หนิงเชียนเข้ามาอยู่ในพระราชวังแคว้นเซี่ยแล้ว จะให้หนิงเชียนเข้าไปใกล้ชิดหวังจิ้นฮวนเห็นทีจะไม่เหมาะ แต่ถ้าเป็นหวังจินเหยียนกับหลิวฉีเหยียนแล้วล่ะก็ ถ้าทำให้พวกเขาได้แต่งงานกันได้ ก็คงจะเป็นเรื่องที่วิเศษมาก
การใช้ชีวิตบนแผ่นดินแคว้นเซี่ยที่หยุนชางไม่ค่อยคุ้นเคย พอได้สองพี่น้องตระกูลหวังมาเยี่ยมเยียน ได้เห็นหน้าคนที่รู้จักกันมานานเนิ่นนาน ก็ทำให้นางรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง นางอยู่พูดคุยกับหวังจินเหยียนในโรงเตี๊ยมตลอดทั้งคืน เช้าวันต่อมา นางก็สวมหน้ากากเพื่อเตรียมตัวกลับไปยังจวนหลี่
"ตอนนี้ข้าก็ได้มาถึงแคว้นเซี่ยแล้ว น่าจะหาโอกาสแสดงฝีมือเสียหน่อย เพราะท่านพ่อของข้าเป็นเหตุ อยู่ที่แคว้นหนิงก็ไม่ได้มีตำแหน่งงานดีๆ สู้ให้ข้าเป็นทูตจากแคว้นหนิง เข้าวังไปถามเซี่ยหวนอวี่ดูดีกว่าว่า เหตุใดองค์หญิงแห่งแคว้นหนิงของข้า เมื่อมาอยู่แคว้นเซี่ยได้เพียง 3 เดือน ก็เหมือนว่าจะไม่ใช่องค์หญิงเสียแล้ว" ก่อนจะจากลา หวังจิ้นฮวนก็ได้เอ่ยขึ้นกับหยุนชาง
หยุนชางครุ่นคิด แม้นางจะมองว่าเรื่องนี้คงไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรมากนัก แต่หลังจากที่นางมาอยู่ที่แคว้นเซี่ยแล้ว คนที่นี่ก็เหมือนจะลืมไปแล้วว่า นอกจากนางจะเป็นพระชายารุ่ยอ๋อง นางยังมีฐานันดรศักดิ์อีกอย่างหนึ่ง หากได้หวังจิ้นฮวนมาช่วยทำให้คนเหล่านี้ได้ตระหนักถึงฐานะองค์หญิงของนาง ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่เลวเลย
"ก็ดีเหมือนกัน ข้ายังพกป้ายประจำตัวที่เสด็จพ่อเคยมอบให้ข้า เจ้าจงถือป้ายนี้เข้าไปในวัง คิดคำพูดเอาไว้ดีๆล่ะ" นางนิ่งไปสักพัก แล้วจึงพูดต่อไปว่า "เจ้าจะไปเมื่อไร? พาข้าไปด้วยนะ"
หวังจิ้นฮวนพยักหน้า เขาทำการนัดหมายเวลากับหยุนชาง จากนั้นหยุนชางก็กลับไป
หยุนชางอยู่พูดคุยกับหวังจินเหยียนมาทั้งคืน เมื่อกลับมาถึงจวนหลี่แล้วจึงรู้สึกง่วงนอน ในขณะที่นางกำลังจะล้มตัวลงนอนนั้น ก็เห็นเฉี่ยนอินเดินเข้ามาหา "ได้คุยกับพ่อบ้านแล้วเพคะ พ่อบ้านบอกว่า คืนก่อนพิธีฝังพระศพ 1 คืน ร่างของพระชายาตัวปลอมก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย พ่อบ้านรีบทูลให้ฮ่องเต้ทรงทราบ ฮ่องเต้จึงสั่งให้เขานำโลงศพที่ว่างเปล่าไปทำพิธีฝัง แต่ก็เกิดเรื่องขึ้นมาอีก ตอนนี้ เรื่องของเมื่อวานนี้กำลังถูกนำไปพูดต่อๆกันจนแพร่สะพัด ผู้คนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พระชายารุ่ยอ๋องสิ้นพระชนม์อย่างผิดปกติ วิญญาณจึงสำแดงฤทธิ์ด้วยการทำให้ร่างหายไปได้เพคะ"
"ทำให้ร่างหายไปได้?" หยุนชางหัวเราะ "อะไรกัน การคุ้มกันของจวนรุ่ยอ๋องในตอนนี้ไม่เข้มงวดถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ร่างของพระชายาทั้งองค์จะหายไปดื้อๆโดยไม่มีใครรู้เห็นเลยเนี่ยนะ?"
เฉี่ยนอินกล่าวรายงานต่อ "เรื่องนี้จะโทษพ่อบ้านก็ไม่ได้เพคะ เพราะระหว่างที่จัดงานพระศพ ทุกคนในจวนต่างก็วุ่นวาย พ่อบ้านทราบดีว่าร่างนั้นเป็นร่างพระชายาตัวปลอม จึงไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก คนเฝ้ายามก็เผลอหลับไปในตอนกลางคืน เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วกำลังจะปิดฝาโลง จึงได้รู้ว่าพระศพหายไปแล้วเพคะ"
หยุนชางขมวดคิ้ว นางรู้สึกสงสัยอะไรบางอย่าง "ใครมันจะมาขโมยศพกันนะ คนที่มาขโมยศพนั่นจะรู้หรือไม่ว่าศพนั่นเป็นศพปลอม"
เฉี่ยนอินเองก็ใคร่รู้ "จะเป็นไปได้ไหมเพคะว่า เขามานำศพไปทำการตรวจสอบ เพราะไม่แน่ใจว่าศพนั่นจะเป็นศพจริงหรือศพปลอมกันแน่?"
หยุนชางครุ่นคิดแล้วจึงพยักหน้า "ก็อาจจะเป็นไปได้" หยุนชางเงียบไปพักหนึ่งแล้วจึงพูดต่อว่า "หากเป็นเช่นนั้นจริง คงจะนำศพไปชันสูตรเป็นแน่ ฝ่ายพิสูจน์ศพก็มีอยู่ไม่กี่คน เจ้าสั่งให้สายลับคอยจับตาดูให้ดีก็แล้วกัน"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง