"หม่อมฉันได้ยินมาว่าสาวงามที่รอการคัดเลือกส่วนใหญ่ได้มาถึงเมืองจิ่นแล้ว พี่ฉินยีก็มาถึงแล้วหรือไม่?" เฉี่ยนอินได้ยินหยุนชางพูดถึงการคัดเลือกสาวงามก็นึกถึงสิ่งที่หยุนชางเคยพูดเอาไว้ได้ ฉินยีไปฝึกสตรีที่กำลังจะถูกส่งตัวเข้าวัง ในเมื่อถึงเวลาคัดเลือกสาวงามแล้ว ฉินยีก็ควรจะกลับมาด้วยเช่นกัน
"ยังไม่มา ยังต้องรออีกสักระยะ นางยังมีบางสิ่งในมือที่ยังไม่ได้จัดการ อีกสามเดือนนางจึงจะมา" หยุนชางยิ้มบางๆ
หลังจากแต่งตัวเรียบร้อย หยุนชางก็นำสาวใช้ไปที่ศาลา ลั่วชิงเหยียนและหลิ่วหยินเฟิงนั่งอยู่ในศาลานั้นจริง แต่พวกเขาไม่ได้สนทนากันแต่กำลังดูเอกสารในมืออยู่
หยุนชางยืนอยู่ที่ทางเข้าศาลาอยู่ครู่หนึ่ง ในขณะที่กำลังลังเลอยู่ว่าจะเข้าไปดีหรือไม่ ลั่วชิงเหยียนก็เงยหน้าขึ้นราวกับรู้สึกได้ เมื่อเห็นหยุนชางสีหน้าของเขาก็ดูอ่อนโยนลงเล็กน้อย "ตื่นแล้วหรือ? มาแล้วทำไมจึงไม่เข้ามาเล่า?"
หยุนชางจึงสาวเท้าก้าวเข้าไป หลังจากย่อกายคำนับหลิ่วหยินเฟิงแล้วจึงเดินไปหยุดอยู่ที่ข้างกายเขาแล้วกล่าวยิ้มๆ "เห็นว่าท่านอ๋องและคุณชายหลิ่วกำลังดูสิ่งเหล่านี้อยู่อย่างตั้งใจ เกรงว่าจะเข้ามารบกวนเพคะ"
ลั่วชิงเหยียนยิ้มเล็กน้อย เขาเก็บเอกสารในมือแล้ววางลงบนโต๊ะ "ตอนนี้เจ้าเพิ่งตื่นและยังไม่ได้รับประทานอาหาร คงหิวเป็นแน่ ข้าให้พ่อครัวเตรียมอาหารแล้ว เรามาทานอาหารกันก่อนเถอะ" ก่อนที่หยุนชางจะตอบ ลั่วชิงเหยียนก็หันศีรษะไปมองหลิ่วหยินเฟิง "พี่หลิวก็พักสักหน่อยเถอะ เรื่องเหล่านี้ไม่ได้เร่งด่วนประการใด พวกเราทานข้าวกันเถอะ"
หลิ่วหยินเฟิงจึงยิ้มน้อยๆ แล้ววางกระดาษลง แต่ไม่ได้มองหยุนชางแม่เพียงนิด
เมื่อเห็นเช่นนี้หยุนชางก็รู้ได้ว่าพวกเขาตัดสินใจแล้ว นางจึงสั่งคนจัดโต๊ะ เตรียมชามและตะเกียบภาชนะและนำอาหารมา
ทั้งสามคนนั่งลงที่โต๊ะ ลั่วชิงเหยียนตักน้ำแกงให้หยุนชางก่อน จากนั้นจึงพูดกับหลิ่วหยินเฟิงว่า "ข้าดูจากการคัดเลือกสตรีเข้าวังหลายครั้งก่อนหน้านี้แล้ว ครั้งนี้ดูเหมือนจะจัดยิ่งใหญ่ที่สุด มีเหตุผลอะไรหรือ?"
หลิ่วหยินเฟิงยิ้มอย่างอ่อนโยน "ปีนี้เป็นปีที่สามสิบในรัชสมัยของฝ่าบาท นี่เป็นประเพณีที่มีมาแต่เดิม นอกจากนี้โอรสธิดาของฝ่าบาทก็มียี่สิบเอ็ดคนแล้ว แต่กลับมีพระโอรสน้อยนัก ครั้งนี้เหล่าขุนนางจึงคิดว่าควรจัดการคัดเลือกครั้งใหญ่เพื่อให้ราชวงศ์มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง"
หยุนชางฟังอย่างเงียบๆ และคิดในใจว่าเป็นจริงดังที่หลิ่วหยินเฟิงกล่าวมา ถึงแม้ว่าในวังจะดูเหมือนมีองค์ชายองค์หญิงมากมาย แต่ในความเป็นจริงนั้นพวกเขาได้เสียชีวิตไปก่อนที่พวกเขาจะอายุครบสิบขวบเสียส่วนมาก ที่ยังมีชีวิตอยู่ในตอนนี้มีเพียงองค์หญิงเจ็ดพระองค์และองค์ชายสี่พระองค์เท่านั้น
ในบรรดาองค์ชายทั้งสี่ ลั่วชิงเหยียนนั้นพลัดถิ่นไปตั้งแต่ยังเยาว์วัยและเพิ่งกลับสู่แคว้นเซี่ยในบัดนี้ องค์ชายเจ็ดถูกคนอื่นทำร้ายตั้งแต่ยังเด็กทำให้สุขภาพไม่แข็งแรง ฉีอ๋องนับว่าปกติทั้งยังเฉลียวฉลาดแต่น่าเสียดายที่เสิ่นซู่เฟยมีพื้นเพเดิมเป็นนางกำนัลจึงได้รับการดูถูกเหยียดหยามมาตั้งแต่เล็ก องค์ชายคนสุดท้องคือองค์ชายสิบเก้า ได้ยินว่าเขาเป็นเด็กที่คลอดก่อนกำหนด ร่างกายของเขาอ่อนแอก่อนหน้านี้ไม่นานก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด หมอหลวงต่างใช้สารพัดวิธีเพื่อนำเขากลับมาจากเงื้อมมือของยมบาล เพียงแต่สุขภาพของเขาก็ได้ทรุดโทรมไปถึงแก่นแท้แล้ว แม้แต่เดินเพียงสองสามก้าวก็เป็นเรื่องที่ยากเย็นเหลือคณานับ
เมื่อนับดูแล้วก็เห็นได้ว่าทายาทน้อยนัก ไม่แปลกใจเลยที่เหล่าขุนนางร้อนรน เพียงแต่การให้กำเนิดองค์ชายในวังหลังที่ต้องระมัดระวังไปเสียทุกย่างก้าวนั้น คงเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายดายนักและต่อให้เกิดมาได้ การจะให้เติบโตมาอย่างปลอดภัยก็ดูเหมือนความหวังอันริบหรี่
หลิ่วหยินเฟิงชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาของเขากวาดมองหยุนชางอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็พูดต่อ "เมื่อไม่กี่วันก่อนได้มีโอกาสสนทนากับฝ่าบาท ดูเหมือนว่าฝ่าบาทมีพระประสงค์ที่จะให้มีการคัดเลือกครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย... ดังนั้นครั้งนี้จัดยิ่งใหญ่หน่อยก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผลไปเสียทีเดียว"
มือของหยุนชางจับตะเกียบแน่นขึ้น หลิ่วหยินเฟิงตั้งใจเตือนนางว่าหลังจากนี้เซี่ยหวนอวี่จะไม่ทำการคัดเลือกนางสนมอีก หากนางต้องการนำคนไปอยู่ในวังหลังก็ต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ดี
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง