หลังมื้อกลางวัน หยุนชางและลั่วชิงเหยียนก็เก็บของและเตรียมเดินทางกลับเมือง พ่อบ้านหลิวเตรียมผักผลไม้สดจำนวนมากจนเต็มรถม้าเตรียมส่งไปยังจวนรุ่ยอ๋อง
หยุนชางมองดูและไม่พูดอะไรและจากไปพร้อมกับลั่วชิงเหยียน
เมื่อเขามาถึงประตูเมืองจิ่น จู่ๆ ลั่วชิงเหยียนก็กล่าวขึ้นว่า "ยังมีคนตามมาอยู่ ในเมื่อตามมาตลอดทางแล้ว หากไม่ทำให้พวกเขาสมหวังเสียหน่อยเกรงว่าจะพวกเขาจะไม่ให้อภัย อีกครู่เจ้าไปหลบที่วังเสียก่อน ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่ประตูวัง"
หยุนชางเข้าใจว่าเขาต้องการทำให้พวกนั้นสับสน นางจึงยิ้มออกมา
ลั่วชิงเหยียนกำชับให้คนขับรถม้าขับรถม้าไปจอดยังประตูวัง รถม้าไม่สามารถเข้าไปในวังได้ ดังนั้นหยุนชางจึงลงจากรถเข้าไปในวังพร้อมกับเฉี่ยนจั๋ว หลังจากเข้าไปในวังแล้วหยุนชางก็ตรงไปยังวังเว่ยยางก่อนเพื่อถวายพระพรฮองเฮาแล้วจึงไปที่ตำหนักเซียงจู๋อย่างไม่รอช้า จากตำหนักเว่ยยางไปถึงตำหนักเซียงจู๋จะต้องผ่านอุทยานหลวง ฟ้าโปร่งหลังฝน แสงแดดสาดส่องลงมาอย่างอ่อนโยนอบอุ่น ในอุทยานจึงพลุกพล่านไปด้วยนางสนมมากมายที่มีเดินชมดอกไม้ในอุทยาน
หยุนชางเดินลอดซุ้มประตูไปและได้ยินเสียงเบาๆ ดังแว่วมา เสียงนั้นไม่คุ้นเคยนัก ฟังดูเหมือนคนอายุราวสามสิบปี หยุนชางชะงักฝีเท้าลงมองผ่านซุ้มประตูออกไป เห็นว่าแต่งกายเหมือนนางสนมแต่กลับเห็นเป็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยนัก นางจึงคิดว่าคงเป็นสนมที่เข้าวังมานานแต่ไม่มีลูกและไม่ได้รับความโปรดปราน
"ฮุ่ยจาวอี๋เข้าวังมานานแค่ไหนกันเชียว ยังไม่ถึงสามเดือนนางก็ตั้งครรภ์แล้ว ช่างน่าอิจฉานัก พวกเราอยู่ในวังมากว่ายี่สิบปีแล้ว ตอนนี้แม้แต่จะพบฝ่าบาทสักครั้งก็ยากยิ่งนัก คำกล่าวที่ว่าได้คนใหม่ก็ลืมคนเก่าช่างจริงเสียเหลือเกิน! ไม่น่าแปลกใจที่เสียนฮูหยินอดไม่ได้ที่จะลงมือ..."
ผู้ที่พูดนั้นต่างก็เป็นนางสนมที่สูญเสียความไม่โปรดปรานไป หยุนชางจึงไม่สนใจจะฟังต่อนัก ขณะที่จะหมุนตัวกลับเพื่อเปลี่ยนทางก็ได้ยินเสียงอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น
"จะว่าไปแล้วเวลาที่เสียนฮูหยินเข้าวังมาก็ไม่สั้นนักแต่ท้องของนางกลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เลย แต่ที่น่าแปลกก็คือฝ่าบาทยังคงคิดถึงและไปหานางเป็นครั้งคราว ไม่เหมือนกับเรา แต่เสียนฮูหยินก็อาศัยบารมีของเสิ่นซู่เฟย ก่อนหน้านี้นางกอดขาของเสิ่นซู่เฟยแน่นไม่ปล่อยราวกับเป็นสุนัขรับใช้ของเสิ่นซู่เฟย แต่สุนัขตัวนี้ก็คุ้มค่า หากข้ารู้ว่าอยู่กับเสิ่นซู่เฟยแล้วจะได้รับความเมตตาจากฝ่าบาทบ้าง ข้าเองก็เต็มใจ" เมื่อพูดถึงตอนท้ายก็มีแววเยาะเย้ยตนเองอยู่บ้าง
"ใช่ แต่ก็ไม่มีอะไรน่าอิจฉานัก เสิ่นซู่เฟยกับเสียนฮูหยินถูกไล่เข้าสู่ตำหนักเย็นแล้ว เกรงว่าตอนนี้พวกนางคงจะกำลังร้องไห้อยู่ในตำหนักเย็น! แม้ว่าเราจะไม่เป็นที่โปรดปราน แต่พวกเราก็ไม่ต้องทนหิวทนหนาวและยังมีนางกำนัลรับใช้อีกสองสามคน ดีกว่าพวกนางตอนนี้เสียอีก"
ทันทีที่สิ้นเสียงก็มีเสียงหัวเราะดังแว่วมา
หยุนชางขมวดคิ้วและหันหลังเดินจากไปอีกทาง แต่ในใจยังคงนึกถึงคำพูดของนางสนมเหล่านั้นอยู่ คลับคล้ายคลับคลาว่าจะนึกอะไรบางอย่างออก คาดไม่ถึงเลยว่าเสิ่นซู่เฟยกับเสียนฮูหยินกับมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันเช่นนี้ เหตุใดนางจึงไม่เคยได้ยินใครพูดถึงมาก่อนเลย? และยังไม่ได้มีเขียนไว้ในข้อมูลที่ให้คนไปสืบมาอีกด้วย
หลังจากออกจากอุทยานมาแล้ว หยุนชางก็หมดความสนใจ นางเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงหันไปพูดกับเฉี่ยนจั๋ว "ออกจากวังกันเถอะ"
เฉี่ยนจั๋วลอบมองสีหน้าของหยุนชางอย่างเงียบๆ และกระซิบว่า "พระชายาต้องการให้หม่อมฉันให้คนไปสืบเรื่องที่นางสนมเหล่านั้นพูดกันว่าเป็นความจริงไหมหรือไม่เพคะ?"
หยุนชางชะงักฝีเท้าคิดใคร่ครวญแล้วจึงกล่าวว่า "ไม่ต้องสืบหรอก เจ้าคิดหาทางช่วยข้าสืบดูว่านางกำนัลเก่าแก่ที่เคยรับใช้เสิ่นซู่เฟยและเสียนฮูหยินยังอยู่หรือไม่และเหล่านางสนมที่เข้าวังมาก่อนหน้าเสิ่นซู่เฟยและเสียนฮูหยิน หากมีให้รวบรวมข้อมูลแล้วส่งให้ข้าก็พอ"
เฉี่ยนจั๋วรับคำแล้วจึงเอ่ยเบาๆ "พระชายาคิดจะทำอะไรหรือเพคะ?"
หยุนชางยิ้มบางๆ "ข้ายังคิดไม่ออกว่าจะทำอะไร เพียงแต่ข้าอยากรู้ว่าความจริงของเรื่องเป็นอย่างไรเท่านั้น"
หลังออกจากวัง รถม้ายังคงจอดรออยู่ที่เดิม ลั่วชิงเหยียนยืนอยู่ข้างนอกรถม้าโดยหันหลังให้หยุนชางราวกับกำลังพูดคุยกับคนผู้หนึ่งอยู่
คิดว่าคงเป็นเพราะได้ยินเสียงฝีเท้า ลั่วชิงเหยียนจึงหันกลับมา หยุนชางจึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่าคนตรงหน้าเขาก็คือหลี่เฉี่ยนโม่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง