“ผมจะบีบบังคับคุณไปถึงไหนหรือ ผมเพียงแค่อยากจะทานอาหารกลางวันเท่านั้นเองนะครับ”
เขาก้มลงมามองฉัน ทุกถ้อยทุกคำในน้ำเสียงสงบนิ่ง ดูแล้วเหมือนฉันก้าวร้าวผู้อื่นไปเองคนเดียวอย่างนั้น
เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์เมื่อกี้ตึงเครียดมาก แต่มาตอนท้ายจู่ๆ น้ำเสียงของเขาก็ผ่อนคลายลง ทิ้งฉันให้โกรธจนตัวสั่นอยู่คนเดียว ส่วนเขาอารมณ์สุขสบายดีซะอย่างนั้น
“คุณออกไปเลย!”
“อย่าเสียงดังไป เป้ยเปยจะตื่นแล้วครับ”
เขาใช้วิธีสงบสยบความเคลื่อนไหว ฉันโมโหจนอยากจะร้องไห้ ผลคือ เขาดึงรถเข็นเด็กอ่อนกลับมา: “เอาล่ะ สายมากแล้ว คุณไปทำกับข้าวเถอะครับ”
“ลู่จือสิง ตกลงคุณฟังฉันพูดอยู่——”
ฉันยังพูดไม่ทันจบ เขาก็ผลักรถเข็นเป้ยเปยเข้าห้องไปแล้ว
ฉันยืนอยู่ตรงนั้น ไม่รู้จะระเบิดอารมณ์โกรธไว้ตรงไหน
แต่ฉันรู้ดีว่าไม่มีแรงเท่าเขา ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเป้ยเปยอยู่ ถึงฉันจะเข้าไปดึงเขาออกมา ก็คงดึงไม่ไปอยู่ดี
แทนที่จะเสียแรงเปล่า สู้เอาแรงไปทำอาหารดีกว่า ได้แต่หวังอยู่ในใจว่าเมื่อเขาทานเสร็จแล้วจะรีบไสหัวไปให้ไวเลย
จากนั้นจึงยอมเข้าห้องครัวไปทำอาหารกลางวัน เหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งเช้าแล้ว ฉันเองก็หิวมากเช่นกัน
เมื่อทำไปได้ครึ่งทาง ฉันก็พบว่าลู่จือสิงมายืนอยู่ข้างประตูกำลังมองดูฉันอยู่
การจ้องมองของเขาช่างตรงไปตรงมาเหลือเกิน ทำให้ฉันไม่อาจที่จะมองข้ามไปได้
ในช่วงสองสามนาทีแรกฉันยังพยายามที่จะสะกดจิตตัวเองไม่ให้ไปสนใจ ไม่ไปยุ่งกับสายตาของเขา แต่ก่อนที่จะหั่นเนื้อลงไปฉันเผลอใจลอย จึงหั่นถูกนิ้วมือตัวเองแทน
“ซี๊ด”
ฉันอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจ ในขณะที่ยังไม่มีปฏิกิริยาออกมา ลู่จือสิงก็เข้ามาจับมือฉันไปที่ก๊อกน้ำจากนั้นก็เปิดน้ำให้ไหลแรงๆ ผ่านมือฉันไป: “คุณกำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย?”
ฉันเงยหน้ามองเขาจึงพบว่าใบหน้าของลู่จือสิงดำเหมือนก้นหม้อเลย
แล้วใจฉันก็เหมือนถูกอะไรปัดๆ เบาๆ อย่างนั้น โชคดีที่ฉันเกิดอาการเจ็บแผลบนมือขึ้นมานิดหนึ่ง จึงคืนสติกลับมาได้เร็ว
ฉันดึงมือกลับ: “ออกไป!”
“มือคุณบาดเจ็บแล้วครับ!”
เขาขมวดคิ้ว มองฉันด้วยใบหน้าไม่เห็นด้วย
ฉันยิ้มเยาะ: “ไม่ใช่เป็นเพราะประธานลู่อยากจะทานอาหารกลางวันที่บ้านหรือคะ?”
หายากที่เขาจะไม่โต้กลับ จากนั้นเขาก็ลากฉันออกไป: “พูดให้มันน้อยๆ หน่อย กล่องปฐมพยาบาลอยู่ที่ไหนในบ้านครับ?”
เห็นเขาทำท่าเป็นกังวลราวกับจะทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่อยู่แล้ว ฉันก็รู้สึกเจ็บปวดที่ใจ
เดิมทีฉันควรจะเย็นชาต่อไป ไม่ต้องไปสนใจว่าเขาจะพูดอะไรดีที่สุด
แต่พอเห็นเขาก้มหน้ามองดูแผลตื้นๆ บนมือฉันแล้วขมวดคิ้วใส่ ฉันก็อดไม่ได้ที่จะเปิดปากพูด: “อยู่เคาน์เตอร์ที่สอง ในห้องครัวค่ะ”
เวลานี้เขาถึงจะเงยหน้าแล้วมองมาที่ฉัน: “กดเอาไว้นะครับ”
บาดแผลไม่ใหญ่อะไร แต่เลือดออกค่อนข้างมาก
ฉันกดแผลเอาไว้ จากนั้นลู่จือสิงก็ลุกขึ้นไปหากล่องปฐมพยาบาล
เขาเคลื่อนไหวเร็วมาก ไม่กี่นาทีก็บิดกล่องปฐมพยาบาลให้เปิดออกมา: “ยื่นมือออกมาครับ”
ฉันยื่นมือออกไป เลือดยังไหลอยู่ ตอนนี้เลือดสดๆ ไหลทะลักออกมาไม่ยอมหยุด
ลู่จือสิงหยิบสำลีและยาฆ่าเชื้อออกมา และหยดยาฆ่าเชื้อลงไปบนสำลี จากนั้นก็เอามากดบนบาดแผลของฉัน
ทีแรกฉันยังคิดว่าเขาคงจะอ่อนโยนสักหน่อย ใครจะไปรู้ว่าเขากลับกดลงมาแรงๆ อย่างไม่เกรงใจกันบ้างเลย
“ลู่จือสิงคุณจงใจหรือเปล่าเนี่ย?”
เขาเงยหน้าขึ้นมามองฉันด้วยสีหน้าเย็นชา: “รู้ตัวว่าเจ็บแล้วใช่มั้ย?”
“งั้นคุณก็ลองมาดูจะได้รู้ว่าเจ็บหรือไม่เจ็บกัน!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้