เขาไม่เพียงแต่ไม่ยอมปล่อย แต่เขายังดึงฉันเข้าไปในอ้อมแขนของเขาอีกด้วย
ถ้าหากว่าเป็นก่อนหน้านี้ ฉันก็คงจะเก็บอาการและเก็บความอึดอัดไว้เพียงคนเดียว แต่ครั้งนี้ฉันโกรธจริงๆ
เมื่อเขายกมือขึ้นและดึงฉันเข้าไปในอ้อมแขนของเขา ฉันจึงอ้าแขนขึ้นและตบหน้าเขา
"เพียะ"
ในการตบครั้งนี้ฉันใช้แรงในการตบด้วย ในไม่ช้าใบหน้าของลู่จือสิงก็ปรากฏรอยนิ้วมือทั้งห้าของฉัน
ผิวของเขาขาวกว่าผู้ชายทั่วไป รอยนิ้วมือทั้งห้าที่ฉันได้ตบลงบนใบหน้าเขาก็ปรากฎรอยอย่างชัดเจน
ถ้าหากเป็นปกติ เมื่อฉันเห็นรอยบนหน้าเขา ต่อให้ฉันกำลังโกรธอยู่ก็ตาม ภายในใจของฉันก็จะทนทุกข์อยู่ไม่น้อย
แต่ตอนนี้ความขุ่นเคืองในสมองของฉันนั้นไม่ได้เตือนสติฉันและนึกถึงเรื่องที่ทำเพิ่งทำไปเมื่อครู่
ฉันไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดไปกับเขา ตอนนี้ฉันรู้สึกเจ็บปวดในส่วนของฉันคนเดียว!
"ปล่อย!"
ฉันมองเขาด้วยสีหน้าเย็นชา
เขาก้มหน้ามองฉันและโอบรัดฉันแน่นขึ้น ร่างกายของฉันถูกกอดรัดโดยแขนของเขาจนไม่สามารถขยับได้แม้แต่น้อย
"หายโกรธหรือยัง? ถ้ายังไม่หายโกรธ อยากจะทุบตีด้านนี้อีกสักหน่อยไหม จะได้เท่าๆกัน?"
ท่าทีของเขานั้นดูจริงจังมาก แต่คำพูดที่กล่าวมานั้นกลับดูไร้สาระ
ฉันโกรธจนมือสั่น "ลู่จือสิง ฉันบอกว่าให้ปล่อยฉัน!"
"ไม่ปล่อย ซูยุ่น ผมผิดไปแล้ว คุณอย่าโกรธผมเลย"
เขาก้มศีรษะลง วางคางของเขาบนไหล่ของฉันและเขาก็โอบกอดฉันไว้
เมื่อฉันได้ยินสิ่งที่เขาพูด ฉันรู้สึกเพียงแค่ว่าช่างน่าขำ "คุณผิดเหรอ? ไม่เลย คุณผิดอะไร คนที่ผิดคือฉัน!"
ในตอนนั้นเขาสาบานด้วยน้ำใสใจจริงพูดว่าเชื่อใจฉัน แล้วในวันนี้ล่ะ?
ความเชื่อใจเป็นแบบนี้เหรอ?
ฉันทนความหึงของเขาได้เพราะนี่คือการแสดงออกถึงความรักที่เขามีให้กับฉัน
แต่ความรักที่เขามีต่อฉันนั้นเป็นแบบนี้งั้นเหรอ?
เรื่องของหลินเมิ่งเซียเขาก็ยังไม่พูดอะไรกับฉัน แต่ตัวเขาเองนั้นกลับมาสงสัยในเรื่องของฉันกับซวี่ชิงหนาน และไม่ได้ถามอะไรฉันเลยสักนิด เพราะอาหารเพียงมื้อเดียวก็สามารถยืนยันเรื่องของฉันและซวี่ชิงหนานได้อย่างนั้นเหรอ?
ฉันไม่รู้เลยจริงๆว่าฉันควรจะเชื่อเขาอีกดีหรือเปล่า เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาไม่เชื่อฉัน
เป็นมาแบบนี้มาตลอด เขาคิดว่าตัวเองถูกเสมอ ไม่เคยถามอะไรฉันและตัดสินฉันผิดๆไปก่อนเสมอ
ฉันไม่ใช่เด็กสาวอายุยี่สิบปีอีกแล้ว ตอนนี้ฉันอายุสามสิบปีแล้ว ลูกชายของฉันก็สามารถเรียกฉันว่าแม่ได้แล้ว
แม้ว่าฉันจะไม่อยากยอมรับ แต่ฉันก็ต้องยอมรับมัน ฉันนั้นไม่มีความไร้เดียงสาหลงเหลือแล้ว
และในความจริง ฉันเองก็ไม่ได้ไร้เดียงสา
อายุฉันเลยวัยที่จะให้อภัยคนคนหนึ่งโดยการชักจูงหรือหยอกเหย้าไปแล้ว เมื่อเปรียบกับคำพูดคำจาของเขาแล้ว ฉันยิ่งอยากเห็นว่าเขาคือการเปลี่ยนแปลงที่สอดคล้องกับความเป็นจริงของเขาแล้ว แต่ที่ไหนได้มันเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวเล็กๆเท่านั้น
"ผมรู้ว่าผมผิด ซูยุ่น ผมรู้แล้วจริงๆ"
คำพูดของเขาดังก้องอยู่ในหูของฉัน แต่ฉันกลับไม่เคยรู้สึกขยะแขยงเท่านี้มาก่อน
คำพูดเหล่านี้ ฉันไม่รู้ว่าฉันเคยได้ยินมาแล้วกี่ครั้งกี่หน เป็นอย่างไรก็ยังคงเป็นอย่างนั้น
ในตอนที่เขาอยู่ในเมืองDก็เป็นเช่นนี้ ในตอนนั้นพวกเรายังไม่ได้หย่ากัน เขาเองก็กล่าวแบบนี้
ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เขาบอกว่าเขารู้ตัวว่าเขาผิด ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เขาสัญญาแต่สุดท้ายเขาก็ทำผิดอีกครั้ง
บางทีหากเป็นผู้หญิงคนอื่นอาจจะมีความสุข แต่ฉันไม่
เห็นและรู้กันอยู่ว่าสามีและภรรยาเป็นสองคนที่ใกล้ชิดกันและสนิทกันมากที่สุดในโลก เขาและฉันเป็นคนที่อยู่เคียงข้างกันไปตลอดชีวิต แต่ความเชื่อใจของเขานั้นยังไม่เพียงพอ
ยังมีเรื่องอะไรที่น่าขำกว่านี้อีกไหม?
คนสองคนมีความรัก โอ้ไม่ ไม่แน่ว่าอีกไม่นาน พวกเราอาจจะเป็นสามีภรรยากัน คู่รักที่มีความรัก แค่เพียงพื้นฐานของความไว้วางใจก็ยังไม่มีเลย
นี่มันไม่น่าตลกเหรอ?
นี่มันไม่เพียงแต่น่าขำเท่านั้น แต่ยังน่าเศร้าโศกอีกด้วย!
ฉันไม่อยากโต้เถียงกับเขาและไม่อยากพูดอะไรอีกแล้ว "คุณปล่อย ฉันปวดหัว อยากไปอาบน้ำแล้วก็นอนแล้ว"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้