หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้ นิยาย บท 217

เมื่อออกจากกรมการปกครองฝ่ายพลเรือน ฉันและลู่จือสิงต่างฝ่ายก็ต่างมีทะเบียนสมรสในมือ ซึ่งเดิมทีควรจะถือลูกอมมงคลและขนมมงคล

ฉันก้มลงมองไปที่ทะเบียนสมรส ทันใดนั้นลู่จือสิงก็ดึงทะเบียนสมรสออกจากมือของฉันและเดินไป

ฉันอึ้งไปชั่วขณะ และอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว:“คุณทำอะไร?”

“ฉันเก็บไว้ให้ กลัวว่าเธอจะทำหาย”

ได้ยินที่ลู่จือสิงพูด ฉันก็ไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี “เถอะน่าคุณ ฉันเคยทำของแบบนี้หายเมื่อไหร่กัน?”

พอฉันพูดจบเขาก็ยกมือขึ้นมากอดฉัน:“หายไปแล้ว”

“อะไร?”

ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พูดว่าฉันไม่ลืม แต่สิ่งที่ฉันเก็บไว้ด้วยตัวเอง ตั้งแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยหายไป

“ทำฉันหายไป”

ลู่จือสิงพูดเสียงแผ่วเบา ดูเศร้าๆแบบนี้อยู่ข้างหูของฉัน

ฉันคิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบนี้ และในขณะนี้ฉันก็มีความรู้สึกที่หลากหลาย

ฉันหันกลับไปมองเขาด้วยความรู้สึกผิด และยกมือไปกำมือของเขาไว้แน่น:“ครั้งนี้ฉันจะไม่หายไปอีกแล้ว”

พูดจบฉันก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ:“เอาล่ะ ที่นี่ผู้คนเดินไปเดินมามากมาย เดี๋ยวถูกคนถ่ายรูปเอานะ——”

ฉันเพิ่งพูดจบไปสักครู่ ก็ได้ยินเสียงชัตเตอร์กล้อง

แม้ว่าการแต่งงานของฉันกับลู่จือสิงจะไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณชน แต่ก็แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับคนจำนวนมากที่กำลังจ้องมองเรา

สื่อมวลชลปัจจุบันนี้ชื่นชอบจังหวะแบบนี้ วันนี้บอกว่าฉันกับลู่จือสิงมีความรักใคร่ผูกพันธ์ที่ดีจึงจดทะเบียนกันแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าวันหน้าพวกเขาจะถ่ายอะไรและจะพูดว่าอะไร?!

การตอบสนองของลู่จือสิงเร็วมาก เขายกมือขึ้นมาโอบฉันไว้ในอ้อมแขนของเขา

ในฤดูหนาวเขาสวมเสื้อคลุมสีดำ หลังจากที่ห่อฉันเข้าไปข้างในเสื้อนั่นแล้ว ฉันก็มองไม่เห็นอะไรเลยได้ยินเพียงเสียงเย็นชาของเขาจากด้านบน:“พวกคุณทำอะไรกัน?!”

“ประธานลู่ ขอถามวันนี้คุณกับคุณซูมาแต่งงานกันใหม่อีกครั้งใช่ไหม?”

“ประธานลู่ คุณกับคุณซูแต่งงานกันใหม่อีกครั้งเป็นเพราะลูกใช่ไหม?”

“ประธานลู่ ขอถามเมื่อวันก่อน——”

“ถ้าพวกคุณกล้าเขียนอะไรสุ่มสี่สุมห้า ก็รอรับจดหมายจากทนายความของบริษัทเฟิงเหิงเราได้เลย!”

ประโยคที่ลู่จือสิงพูดยังคงเป็นที่นิยมอย่างมากในวีแชท พอเขาพูดจบ ฉันก็รู้สึกว่าความรู้สึกกดขี่นั้นไม่ได้รุนแรง

ลู่จือสิงจูงฉันเดินไปข้างหน้า เพราะว่าฉันมองอะไรไม่เห็น จึงทำได้เพียงยกขาขึ้นเดินตามเขาไป

แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคนพวกนั้นกลัวว่าลู่จือสิงจะให้ทนายส่งจดหมายไปให้พวกเขา ดูเหมือนว่าคนที่ตามมานั้นจะมีไม่มากแล้ว

หน้าต่างรถของลู่จือสิงได้จัดทำมาให้เราที่นั่งอยู่ในรถสามารถมองเห็นข้างนอก แต่คนข้างนอกจะมองไม่เห็นเราที่ยู่ข้างใน

ฉันเห็นนักข่าวหลายคนที่อยู่ข้างหน้าตบประตูรถและขมวดคิ้ว

ลู่จือสิงก็ขึ้นรถมาอย่างรวดเร็ว ฉันหันไปมองเขากำลังโกรธและสีหน้าของเขาก็แย่มาก

ถึงแม้ว่าฉันไม่ชอบที่ถูกแอบถ่ายและเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของมวลชน แต่วันนี้เป็นวันที่ฉันกับลู่จือสิงจดทะเบียนกันอีกครั้ง ฉันไม่อยากอารมณ์เสียเพราะคนพวกนั้น

เมื่อเห็นใบหน้าที่เย็นชาของเขา ฉันจึงยกมือขึ้นกุมมือของเขาไว้:“ลู่จือสิง อย่าไม่มีความสุขสิ วันนี้เป็นที่เราวันจดทะเบียนกัน”

เขาหันมามองตาฉันแล้วพยักหน้า:“ซูซู เธอไม่ต้องเป็นห่วง รูปที่พวกเขาถ่ายจะไม่หลุดอกไป”

ฉันยิ้ม:“ฉันเชื่อคุณ”

แน่นอนว่าฉันเชื่อเขา ลู่จือสิงในเมืองA ไม่มีใครไม่รู้ถึงความสามารถของเขา

ในระหว่าที่เขาขับรถก็โทรหาหลี่จื้อให้จัดการเรื่องเมื่อตะกี้ หลังจากวางสายโทรศัพท์เขาก็หันหน้ามาถามฉัน:“อยากกินอะไร?”

เอาจริงๆในหน้าหนาวนี้ ฉันอยากไปกินหม้อไฟมาก

แต่วันนี้เป็นวันที่ดี ถ้าจะกินหม้อไฟจะลำบากลู่จือสิงไปหน่อย

คิดๆดูแล้วฉันก็เลือกสถานที่ที่โรแมนติกกว่านั่นได้:“ไปร้านอาหารที่มีดนตรีก็แล้วกัน”

พอฉันพูดจบก็พบว่าลู่จือสิงมองฉันด้วยสายตาที่แวววาว

ใบหน้าของฉันก็ร้อนผ่าว:“ต้องมีความเป็นพิธีการ”

“อื้ม ฉันเข้าใจ”

เขาตอบอย่างจริงจัง ฉันรู้สึกไม่ชินนิดหน่อย

หลังทานอาหารเที่ยงเสร็จก็เป็นเวลาสิบสองนาฬิกา ฉันลางานตอนเช้าและฉันต้องกลับไปทำงานในตอนบ่าย

แม้ว่าติงหยวนจะบอกว่าฉันลางานทั้งวันเลยก็ได้ แต่วันนี้ฉันยังต้องกลับไปติดต่อกับเจิ้งเยว่เรื่องโครงการของเมืองJ

“เธอลางานช่วงบ่ายไม่ได้หรอ?”

ลู่จือสิงไม่ยอมขับรถ ต้องการให้ฉันโทรศัพท์ไปลางานช่วงบ่าย

แม้ว่าฉันอยากจะทำแบบเดียวกัน แต่ในที่สุดแล้วความมีเหตุผลก็ชนะความรู้สึก:“ไม่ได้ วันนี้โครงการเมืองJ จะเริ่มโปรโมทอย่างเป็นทางการ ฉันต้องกลับไปดู”

ฉันรู้ว่าเขายิ้มเยาะฉัน แต่ฉันไม่มีทางเลือก

การทำงานของฉันนั้นต้องติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ

“โอเค ฉันไปส่งเธอที่บริษัท”

เห็นเขายอมพูด ฉันก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม อาศัยจังหวะที่เขาไม่ทันได้ระวังตัว เข้าไปจูบเขา:“ขอบคุณค่ะ”

ทันทีที่ฉันถอยกลับเขาก็ดึงฉันกลับไป และก้มลงมาจูบฉัน

หลังจากนั้นไม่นานฉันรู้สึกว่าฉันกำลังจะขาดออกซิเจน ลู่จือสิงจึงปล่อยฉัน

“ครั้งหน้าถ้าจะขอบคุณ คุณหญิงลู่โปรดทำตามแนวทางนี้ด้วย”

ฉันหอบและจ้องไปที่เขา:“ได้คืบจะเอาศอก!”

ฉันเหลือบมองฉันและไม่ได้พูด

ครั้งนี้ลู่จือสิงสตาร์ทรถจริงๆ

ฉันมองตัวเองในแว่น เป็นเพราะจูบเมื่อตะกี้ตอนนี้ฉันเลยน้ำตาคลอ และแก้มสองข้างแดง ถ้าคนอื่นเห็นเข้า ไม่แน่อาจจะคิดว่าฉันกับลู่จือสิงทำอะไรกันในรถ

คิดอย่างนั้นแล้ว ใบหน้าองฉันก็ร้อนผ่าว

“คุณหญิงลู่ เธอกำลังคิดอะไรอยู่ ทำไมใบหน้าร้อนผ่าวอย่างนี้?”

ฉันมองไปข้างหน้าและพบว่าเป็นไฟแดงพอดี ลู่จือสิงหันมามองฉันด้วยแววตาที่ยิ้ม

ฉันถูกเขาจ้องมองจนใบหน้าร้อนผ่าว และร้อนไปทั้งตัว

“ไม่ได้คิดอะไร เครื่องทำความร้อนในรถเสียงดังรบกวน”

“จุ๊จุ๊จุ๊ ฉันชอบฟังคำโกหกแบบนี้ของคุณหญิงลู่จัง”

ฉันอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นตีเขา “ไปให้พ้น!”

เขาจับมือของฉัน และก้มลงมาจูบที่นิ้วชี้

มันเบามาก แต่ฉันรู้สึกว่านิ้วมือตัวเองชา

และหัวใจของฉันก็รู้สึกคันๆตามไปด้วย

ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ ลู่จือจิงยิ่งนานยิ่งหน้าหนาไม่มียางอายขึ้นเรื่อยๆ ฉันไม่สามารถเทียบกับเขาได้เลย

ในระหว่างการเดินทาง ฉันก็ไม่ได้พูดคุยกับลู่จือสิง

หลังจากที่เขาแกล้งฉันไปสองครั้งและเห็นว่าฉันเงียบ เขาก็ไม่ได้พูดกับฉันอีก

โชคดีที่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มาถึงชั้นล่างของบริษัท ฉันเห็นตึกของบริษัทก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าฉันไม่ได้มาทำงานที่บริษัทมาครึ่งเดือนแล้ว

แต่ฉันก็ยังไม่ชิน

“เอาล่ะ ถึงบริษัทฉันแล้ว ฉันไปก่อนนะ”

ขณะที่พูดฉันก็ผลักประตูเตรียมจะลงรถ แต่ได้ยินเสียงลู่จือสิงเรียกฉัน:“เดี๋ยวก่อน”

ฉันขมวดคิ้วและหันกลับไปมองเขาอย่างงงๆ:“ทำไมหรอ?”

“คุณลืมอะไรหรือเปล่า?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้