หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้ นิยาย บท 222

“คุณลองดูผลงานของคุณเองเถอะ!”

เขาดูมีสีหน้าพอใจเมื่อฉันยื่นโทรศัพท์ไปให้ดู “ไม่เลวนี่ แค่คืนเดียวมีคนติดตามเพิ่มตั้งหนึ่งหมื่นกว่าบัญชี ลงโพสต์เพิ่มอีกหน่อยบัญชีของคุณก็รับลงโฆษณาได้แล้ว!”

พอเห็นท่าทีที่พูดทีเล่นทีจริงฉันก็อดเอาตะเกียบตีที่หลังมือเขาไม่ได้ “อะไรเนี่ย คุณก็พูดเกินไป ไม่กลัวว่า...”

“กลัวอะไร?”

ฉันยังไม่ทันจะเปิดประเด็นพูด อยู่ๆ ลู่จือสิงก็เงยหน้าขึ้นมามองด้วยสีหน้าจริงจัง

ความจริงฉันก็ปากไวไปหน่อย เพิ่งมาคิดได้ว่าเราสองคนเพิ่งจดทะเบียนสมรสกันได้ไม่ถึงสองวัน ขืนฉันพูดอะไรที่ไม่เจริญหูขึ้นมาตอนนี้คงไม่ดีเท่าไรนัก

ฉันยิ้มและตัดสินใจไม่พูดในสิ่งที่คิด “ไม่มีอะไร ฉันแค่จะถามว่าไม่กลัวแฟนคลับที่คลั่งไคล้พวกนั้นทนไม่ได้หรือไง”

เขาทำเสียงฮึและส่งโทรศัพท์มาให้ฉัน “ไม่เห็นเกี่ยวกับผม ยังไงผมก็มีความสุขอยู่ดี”

มีความสุขมากจนต้องบอกให้โลกทั้งโลกรู้เลยน่ะหรือ?

ทว่าฉันเองเริ่มชินกับตรรกะแปลกๆ แบบนี้แล้ว

ฉันตัดสินใจล็อกเอาท์ออกจากเวยปั๋วเพราะรำคาญมากจริงๆ ที่โทรศัพท์มีข้อความแจ้งเตือนขึ้นมาทุกๆ หนึ่งหรือสองนาทีว่ามีคนกดไลค์หรือไม่ก็ส่งข้อความมาหา

กลับกันกับลู่จือสิงที่หยิบโทรศัพท์ออกมาดู

ในฐานะที่เขาเป็นประธานกรรมการบริหารของบริษัทเฟิงเหิงจึงเป็นธรรมดาที่จะมีคนติดตามหลายล้านคนในเวยปั๋ว

เมื่อคืนเขาโพสต์แค่ข้อความสั้นๆ บนเวยปั๋วว่า ‘วิเศษจริงๆ’ พร้อมภาพที่เราจับมือแบบสอดนิ้วประสานกัน โดยที่บนนิ้วปรากฏแหวนแต่งงานของเราทั้งคู่

ไม่เห็นว่าภาพนั้นจะดูโรแมนติกสักแค่ไหน แต่ลู่จือสิงกลับคุยโวเสียเหลือเกิน และฉันก็ไม่ค่อยชินกับอะไรแบบนี้เลยจริงๆ

ฉันยังดื่มน้ำเต้าหู้ไม่ทันหมดเขาก็ยื่นโทรศัพท์มาให้ดู “ดูสิ ยอดกดไลค์เกินหนึ่งแสนแล้ว! มีคนมาอวยพรให้เราเยอะแยะเลย ดีจริง!”

พอกวาดตามองก็เห็นว่าตอนนี้มียอดกดไลค์มากกว่าหนึ่งแสนครั้ง ยอดแชร์เกือบห้าหมื่นครั้ง และข้อความแสดงความคิดเห็นอีกเจ็ดหมื่นกว่าข้อความ

ฉันไม่อยากใส่ใจลู่จือสิงนัก เพราะสภาพเขาในตอนนี้ถ้าฉันเออออไปด้วยมีหวังเขาคงเอาแต่พูดไม่หยุดไปอีกเป็นชั่วโมงๆ แน่

เพิ่งจะแปดโมงเช้าตอนที่เรากินข้าวเสร็จ ฉันกลับเข้าไปในห้องเพื่อแต่งหน้าแต่งตัวเตรียมไปทำงาน

วันนี้เราออกจากบ้านก่อนเวลาห้านาทีและมาถึงบริษัทตอน 8:45 น. ฉันจึงไม่รีบร้อนเพราะเหลือเวลาอีกตั้งสิบห้านาทีกว่าจะถึงเวลาเข้างาน

“เย็นนี้เราไปตลาดด้วยกันไหม”

ตอนนี้ในตู้เย็นที่บ้านไม่มีอะไรเหลือแล้ว ถ้าไม่ออกไปซื้อของมาเพิ่มคงได้กินแค่ไข่ทอดกันแน่ๆ

ลู่จือสิงหันมามองฉันพลางพยักหน้าน้อยๆ “งั้นคุณรอผมนะ”

ฉันพยักหน้าและพยายามจะเปิดประตู แต่พบว่าเขาล็อกมันเสียแล้ว

“เปิดประตูสิคุณ!”

ฉันไม่ได้รีบร้อนเพราะมีเวลาเหลือเฟือ แต่ว่าตอนนี้รถจอดอยู่ในที่ที่สะดุดตามากและฉันอาจเจอเพื่อนร่วมงานเข้าตอนไหนก็ได้

ลู่จือสิงมองฉันแล้วยิ้ม จากนั้นก็ยกนิ้วขึ้นแตะที่แก้มของตัวเองโดยไม่พูดอะไร

ฉันเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไรและเบื่อที่จะเถียงด้วย จึงดึงแขนเขาให้เอียงตัวลงมาหาแล้วหอมแก้มไปหนึ่งที “โอเค...”

ทว่าเขากลับดึงฉันกลับไปอีกครั้งแล้วโน้มศีรษะลงมาประทับจูบลงบนริมฝีปากฉัน

สองนาทีต่อมาเขาจึงปล่อยฉันเป็นอิสระ พอฉันก้มหน้าหยิบกระจกขึ้นมาส่องก็พบว่าลิปสติกที่ทาไว้เลอะไปหมดอย่างที่คิด!

ฉันมองเขาค้อนๆ “คุณนี่ไม่รู้กาลเทศะบ้างเลย”

“แอบทำในรถยังไม่โอเคอีกหรือ?”

เขาเลิกคิ้ว สีหน้าไม่ค่อยเต็มใจ

ฉันทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจ “เอาเถอะ จูบแล้วก็แล้วกัน ทีนี้เปิดประตูได้หรือยังคะคุณลุงลู่?!”

“ครั้งต่อไปจำไว้เลยนะ ไม่ใช่จูบตรงนี้ แต่ต้องจูบตรงนี้!”

เขาพูดพร้อมกับชี้นิ้วให้ฉันเห็น

ฉันหยิบกล่องทิชชูตรงหน้าปาใส่เขา “ฉันไปทำงานแล้ว!”

เขาหัวเราะและนั่งมองฉันอยู่ในรถ

ฉันหันกลับไปมองเขานิดหนึ่ง พอเห็นเขากำลังมองฉันแล้วหัวเราะ ฉันก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

“โอ้ คุณหญิงลู่!”

พอเข้าไปในสำนักงานฉันก็ได้ยินเซี่ยงฉิงส่งเสียงล้อเลียนมาทันที

ฉันยกมือขึ้นผลักเธอเบาๆ “พอเถอะน่ะคุณเซี่ยงคนสวย ช่วยไว้หน้าฉันหน่อยได้ไหม”

“ไม่มีทาง ประธานลู่ของคุณส่งอาหารสุนัขมาให้สองวันติด จนตอนนี้ฉันเริ่มมีอาการอาหารไม่ย่อยแล้ว!”

เธอทำให้ฉันขำ “ใครบอกให้คุณเอาไปกินเองล่ะ!”

“จุ๊ๆๆ พอเปลี่ยนเป็นคุณหญิงลู่แล้วก็เปลี่ยนไปเลยนะ!”

พอเห็นว่าคนเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ ฉันจึงเลิกเล่นสนุก “พอๆ ไม่พูดแล้ว เตรียมตัวทำงานดีกว่า”

เธอทำเสียงฮึในลำคอและเดินไปเติมน้ำกับฉันพลางกระซิบถามว่า “ได้ยินมาว่าเมื่อวานนี้คุณไปเจอกับหลินเมิ่งเซียคนนั้นมา”

มือของฉันชะงักไปนิดหนึ่ง “คุณรู้ได้ยังไง”

“คุณไม่รู้อะไร บริษัทของเราข่าวไปไวจะตาย! ได้ยินมาว่าเมื่อวานหลินเมิ่งเซียจะตบคุณ แต่ดันเจอกับประธานลู่ที่มารับคุณซะก่อนเลยถูกเขาขู่จนวิ่งหนีไปเลย ใช่หรือเปล่า?”

สีหน้าของฉันมึนตึงขึ้นเมื่อนึกถึงหลินเมิ่งเซีย “เมื่อวานไม่รู้ว่าเธอเป็นอะไร เหมือนพวกปากคอเราะร้ายไม่มีผิด”

ก่อนหน้านั้นหลินเมิ่งเซียเคยก่อกวนฉันมาก่อน แต่แค่ไม่เคยทำเหมือนเมื่อวานนี้ที่ไม่พูดไม่ฟังอะไร จะใช้กำลังอย่างเดียว

เซี่ยงฉิงทำเสียงเย็นชา “ใครจะไปรู้ล่ะ! ไม่แน่ว่าที่คุณกับประธานลู่จดทะเบียนกันอาจจะไปสะกิดต่อมอะไรเข้า พวกยอมรับความจริงไม่ได้!”

ฉันไม่ได้พูดอะไร แต่ก็คิดว่าหลินเมิ่งเซียน่าจะมีอาการป่วยทางจิตประเภทชอบคิดอะไรไปเองหน่อยๆ

ความจริงลู่จือสิงกับเธอแทบไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย แค่เคยติดต่อกันเพียงครั้งเดียว นอกจากนั้นก็ติดต่อผ่านหลี่จื้อตลอด ไม่รู้ว่าทำไมหลินเมิ่งเซียถึงได้คิดว่าลู่จือสิงสนใจเธออยู่

แม้จะต้องยอมรับว่าเธอเป็นคนที่ดูดี

แต่ฉันไม่มีทางยอมรับว่าเธอดูดีกว่าฉันแน่นอน

ฉันไม่อยากนึกถึงหลินเมิ่งเซียอีกจึงชวนเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ช่วงนี้โครงการของพวกคุณเตรียมการไปถึงไหนแล้ว”

เซี่ยงฉิงเป็นคนสบายๆ แค่เพียงฉันเบี่ยงประเด็นเธอก็คล้อยตามโดยง่าย ในไม่ช้าเธอก็เลิกนึกถึงเรื่องของหลินเมิ่งเซีย

แต่พอหลังจากช่วงพักเที่ยง แผนกของเราก็แทบระเบิด

แม้ว่าจะเพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่กี่เดือนแต่ฉันก็เข้ากับเพื่อนร่วมงานในแผนกได้ดี พวกเขาไม่พอใจเรื่องหลินเมิ่งเซียมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว แต่ฉันคิดว่าพวกเราทำงานที่เดียวกันเลยไม่อยากให้มีปัญหาเกิดขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่พูดอะไรและพยายามไม่พูดถึงผู้หญิงคนนี้

แต่ครั้งนี้หลินเมิ่งเซียถูกไล่ออกจากบริษัท จึงเป็นธรรมดาที่ทุกคนจะอดใจไม่ไหวและเข้าไปพูดคุยกันอย่างคึกคักในแชทกลุ่ม

ฉันกับเจิ้งเยว่กำลังดูโปสเตอร์ประกาศอันใหม่จึงไม่ได้สนใจอย่างอื่น พอมารู้อีกทีฉันก็ย้อนดูประวัติการพูดคุยในแชทกลุ่มไม่ได้แล้ว

ในที่สุดพอฉันกด @ ใส่ไปเพื่อดูข้อมูล ฉันจึงรู้ว่าหลินเมิ่งเซียถูกไล่ออกแล้ว

คงต้องบอกว่าฉันรู้สึกดีมากๆ เมื่อได้รู้แบบนี้

แค่คิดว่าหลินเมิ่งเซียต้องทำงานในบริษัทเดียวกันต่อ ฉันคงทนไม่ได้เพราะฉันก็ยอมเธอมาหลายครั้งแล้ว

เมื่อวานเธอกล้าลงมือกับฉันอย่างโจ่งแจ้ง ถ้าลู่จือสิงไม่มาเจอก่อน ไม่แน่ฝ่ามือนั้นอาจจะไม่พ้นมาประทับอยู่บนหน้าฉันแล้ว

ฉันไม่ได้ใจกว้างขนาดจะยอมทนอยู่เฉยๆ อย่างสงบต่อหน้าผู้หญิงที่จ้องจะตะครุบสามีของฉันตลอดเวลา

ขณะที่กำลังจะตอบกลับข้อความ ทันใดนั้นฉันก็ได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงดังกระชั้นเข้ามา

ทันทีที่เงยหน้ามองขึ้นไปฉันก็เห็นหลินเมิ่งเซียอยู่ตรงหน้า

เธอวางมือลงมาบนโต๊ะแล้วก้มลงมองฉัน “ตอนนี้คุณพอใจหรือยังซูยุ่น”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้