“คุณลองดูผลงานของคุณเองเถอะ!”
เขาดูมีสีหน้าพอใจเมื่อฉันยื่นโทรศัพท์ไปให้ดู “ไม่เลวนี่ แค่คืนเดียวมีคนติดตามเพิ่มตั้งหนึ่งหมื่นกว่าบัญชี ลงโพสต์เพิ่มอีกหน่อยบัญชีของคุณก็รับลงโฆษณาได้แล้ว!”
พอเห็นท่าทีที่พูดทีเล่นทีจริงฉันก็อดเอาตะเกียบตีที่หลังมือเขาไม่ได้ “อะไรเนี่ย คุณก็พูดเกินไป ไม่กลัวว่า...”
“กลัวอะไร?”
ฉันยังไม่ทันจะเปิดประเด็นพูด อยู่ๆ ลู่จือสิงก็เงยหน้าขึ้นมามองด้วยสีหน้าจริงจัง
ความจริงฉันก็ปากไวไปหน่อย เพิ่งมาคิดได้ว่าเราสองคนเพิ่งจดทะเบียนสมรสกันได้ไม่ถึงสองวัน ขืนฉันพูดอะไรที่ไม่เจริญหูขึ้นมาตอนนี้คงไม่ดีเท่าไรนัก
ฉันยิ้มและตัดสินใจไม่พูดในสิ่งที่คิด “ไม่มีอะไร ฉันแค่จะถามว่าไม่กลัวแฟนคลับที่คลั่งไคล้พวกนั้นทนไม่ได้หรือไง”
เขาทำเสียงฮึและส่งโทรศัพท์มาให้ฉัน “ไม่เห็นเกี่ยวกับผม ยังไงผมก็มีความสุขอยู่ดี”
มีความสุขมากจนต้องบอกให้โลกทั้งโลกรู้เลยน่ะหรือ?
ทว่าฉันเองเริ่มชินกับตรรกะแปลกๆ แบบนี้แล้ว
ฉันตัดสินใจล็อกเอาท์ออกจากเวยปั๋วเพราะรำคาญมากจริงๆ ที่โทรศัพท์มีข้อความแจ้งเตือนขึ้นมาทุกๆ หนึ่งหรือสองนาทีว่ามีคนกดไลค์หรือไม่ก็ส่งข้อความมาหา
กลับกันกับลู่จือสิงที่หยิบโทรศัพท์ออกมาดู
ในฐานะที่เขาเป็นประธานกรรมการบริหารของบริษัทเฟิงเหิงจึงเป็นธรรมดาที่จะมีคนติดตามหลายล้านคนในเวยปั๋ว
เมื่อคืนเขาโพสต์แค่ข้อความสั้นๆ บนเวยปั๋วว่า ‘วิเศษจริงๆ’ พร้อมภาพที่เราจับมือแบบสอดนิ้วประสานกัน โดยที่บนนิ้วปรากฏแหวนแต่งงานของเราทั้งคู่
ไม่เห็นว่าภาพนั้นจะดูโรแมนติกสักแค่ไหน แต่ลู่จือสิงกลับคุยโวเสียเหลือเกิน และฉันก็ไม่ค่อยชินกับอะไรแบบนี้เลยจริงๆ
ฉันยังดื่มน้ำเต้าหู้ไม่ทันหมดเขาก็ยื่นโทรศัพท์มาให้ดู “ดูสิ ยอดกดไลค์เกินหนึ่งแสนแล้ว! มีคนมาอวยพรให้เราเยอะแยะเลย ดีจริง!”
พอกวาดตามองก็เห็นว่าตอนนี้มียอดกดไลค์มากกว่าหนึ่งแสนครั้ง ยอดแชร์เกือบห้าหมื่นครั้ง และข้อความแสดงความคิดเห็นอีกเจ็ดหมื่นกว่าข้อความ
ฉันไม่อยากใส่ใจลู่จือสิงนัก เพราะสภาพเขาในตอนนี้ถ้าฉันเออออไปด้วยมีหวังเขาคงเอาแต่พูดไม่หยุดไปอีกเป็นชั่วโมงๆ แน่
เพิ่งจะแปดโมงเช้าตอนที่เรากินข้าวเสร็จ ฉันกลับเข้าไปในห้องเพื่อแต่งหน้าแต่งตัวเตรียมไปทำงาน
วันนี้เราออกจากบ้านก่อนเวลาห้านาทีและมาถึงบริษัทตอน 8:45 น. ฉันจึงไม่รีบร้อนเพราะเหลือเวลาอีกตั้งสิบห้านาทีกว่าจะถึงเวลาเข้างาน
“เย็นนี้เราไปตลาดด้วยกันไหม”
ตอนนี้ในตู้เย็นที่บ้านไม่มีอะไรเหลือแล้ว ถ้าไม่ออกไปซื้อของมาเพิ่มคงได้กินแค่ไข่ทอดกันแน่ๆ
ลู่จือสิงหันมามองฉันพลางพยักหน้าน้อยๆ “งั้นคุณรอผมนะ”
ฉันพยักหน้าและพยายามจะเปิดประตู แต่พบว่าเขาล็อกมันเสียแล้ว
“เปิดประตูสิคุณ!”
ฉันไม่ได้รีบร้อนเพราะมีเวลาเหลือเฟือ แต่ว่าตอนนี้รถจอดอยู่ในที่ที่สะดุดตามากและฉันอาจเจอเพื่อนร่วมงานเข้าตอนไหนก็ได้
ลู่จือสิงมองฉันแล้วยิ้ม จากนั้นก็ยกนิ้วขึ้นแตะที่แก้มของตัวเองโดยไม่พูดอะไร
ฉันเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไรและเบื่อที่จะเถียงด้วย จึงดึงแขนเขาให้เอียงตัวลงมาหาแล้วหอมแก้มไปหนึ่งที “โอเค...”
ทว่าเขากลับดึงฉันกลับไปอีกครั้งแล้วโน้มศีรษะลงมาประทับจูบลงบนริมฝีปากฉัน
สองนาทีต่อมาเขาจึงปล่อยฉันเป็นอิสระ พอฉันก้มหน้าหยิบกระจกขึ้นมาส่องก็พบว่าลิปสติกที่ทาไว้เลอะไปหมดอย่างที่คิด!
ฉันมองเขาค้อนๆ “คุณนี่ไม่รู้กาลเทศะบ้างเลย”
“แอบทำในรถยังไม่โอเคอีกหรือ?”
เขาเลิกคิ้ว สีหน้าไม่ค่อยเต็มใจ
ฉันทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจ “เอาเถอะ จูบแล้วก็แล้วกัน ทีนี้เปิดประตูได้หรือยังคะคุณลุงลู่?!”
“ครั้งต่อไปจำไว้เลยนะ ไม่ใช่จูบตรงนี้ แต่ต้องจูบตรงนี้!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้