ฉันชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะเงยหน้ามองเธอแล้วหัวเราะอย่างเย็นชา “พอใจ! แล้วคุณหลินล่ะ พอใจแล้วหรือยัง”
เธอคงคาดไม่ถึงว่าฉันจะตอบกลับไปแบบนี้ จึงจ้องฉันเขม็งและขบเขี้ยวเคี้ยวฟันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อฉัน
ฉันเองก็จ้องเธอกลับอย่างไม่ยอมแพ้ ทุกคนในสำนักงานต่างพากันมองภาพอันน่าตื่นเต้นระหว่างฉันกับหลินเมิ่งเซีย
ผ่านไปครู่หนึ่งหลินเมิ่งเซียก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ “ซูยุ่น ฉันจะคอยดูว่าคุณจะหัวเราะได้อีกนานแค่ไหน!”
“เชิญดูให้เต็มที่เลย!”
“คุณ!”
เธอชี้นิ้วใส่ฉัน แล้วสุดท้ายก็หันหลังเดินจากไป
ทันทีที่หลินเมิ่งเซียเดินจากไปเซี่ยงฉิงก็วิ่งมาหาฉัน “เธอไม่ได้ทำอะไรคุณใช่ไหม”
ฉันเหลือบมองเพื่อนร่วมงานที่อยู่รอบๆ ตัวแล้วยิ้ม “จะทำอะไรได้ ในแผนกมีคนมองอยู่เยอะขนาดนี้”
เซี่ยงฉิงเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ตอนนั้นติงหยวนเดินออกมาพอดี เขาหันมามองฉันก่อนจะหันไปถามเซี่ยงฉิง “คุณเขียนแผนโครงการเสร็จแล้วหรือ?”
เซี่ยงฉิงยิ้มแหยๆ ก่อนจะวิ่งแจ้นกลับไป
ฉันกระชับมือแน่น คิดว่าติงหยวนจะพูดอะไรกับฉัน แต่เขาแค่พยักหน้าให้แล้วก็เดินกลับไป
ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอก... การทะเลาะกับหลินเมิ่งเซียเมื่อครู่นี้เป็นเรื่องที่แย่มากจริงๆ เพราะตอนนี้ยังอยู่ในเวลางาน แต่ยังไงฉันก็ปล่อยไว้ไม่ได้อีกแล้ว
ที่แล้วมาก็แล้วกันไป หลินเมิ่งเซียคอยสร้างความวุ่นวายให้ฉันครั้งแล้วครั้งเล่า จนตอนนี้เธอถูกบังคับให้ออกไปแล้วแต่ก็ยังไม่เลิกมาวอแวกับฉัน... ในเมื่อเธออยากสร้างปัญหาให้ฉันขนาดนั้น การที่ฉันให้บทเรียนเธออย่างนี้ก็ถูกแล้ว
หลังจากนั้นทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างเป็นปกติจนกระทั่งถึงเวลาเลิกงาน
หลังพ้นหกโมงเย็นไปได้ไม่กี่นาทีเซี่ยงฉิงก็มาหาฉัน “เมื่อกี้นี้สะใจจริงๆ ซูยุ่น คุณนี่สมกับที่เป็นเจ้าแม่ของฉันจริงๆ เลย”
พอนึกถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นฉันก็รู้สึกอายเล็กน้อย “ฉันบุ่มบ่ามไปหน่อย”
“จะกลัวอะไร คนอย่างหลินเมิ่งเซีย ถ้าคุณไม่ให้บทเรียนเธอบ้าง เธอคงคิดว่าจะรังควานคุณยังไงก็ได้!”
ฉันยิ้มออกมาและไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก ในเมื่อหลินเมิ่งเซียลาออกไปแล้ว ฉันจึงไม่มีอะไรต้องกังวลอีก
แต่ว่าเซี่ยงฉิงดูตื่นเต้นมากจนพูดไม่หยุด ฉันปิดคอมพิวเตอร์แล้วและอดไม่ได้ที่จะพูดแทรกขึ้นมา “คุณเขียนรายงานการวางแผนเสร็จแล้วหรือ?”
เป็นอย่างที่คิด ทันทีที่ฉันถามจบเซี่ยงฉิงก็ดูเฉาลงทันตา “คืนนี้ต้องทำโอทีละ”
ฉันยกมือขึ้นตบบ่าให้กำลังใจเธอเบาๆ “พยายามเข้านะ!”
“เฮ้ งั้นคุณรีบไปเถอะ ไม่แน่ประธานลู่อาจจะมารออยู่แล้วก็ได้”
ฉันตกลงกับลู่จือสิงไว้แล้วตั้งแต่เมื่อเช้าว่าจะไปตลาดด้วยกันในตอนบ่าย ฉันรู้ว่าเขามารอฉันอยู่ข้างล่างแล้วเพราะเขาส่งข้อความมาหาฉันตั้งแต่ยังไม่เลิกงาน
ฉันพยักหน้า “ไปก่อนนะ พรุ่งนี้เจอกัน”
“แล้วเจอกัน”
ฉันเห็นลู่จือสิงทันทีที่ออกมาจากลิฟต์ วันนี้เขาไม่ได้รอฉันอยู่ในรถแต่กลับมารออยู่ที่ชั้นล่างของตึก
พอฉันมองไปรอบๆ แล้วเห็นว่ามีเพื่อนร่วมงานอยู่แถวนี้หลายคน ก็รู้สึกเขินขึ้นมาหน่อยๆ “ทำไมคุณไม่รอที่รถล่ะ”
ประตูหน้าที่ชั้นหนึ่งของตึกเพิ่งพังเมื่อสองวันก่อน ทำให้ลมหนาวพัดเข้ามาและบรรยากาศก็ขมุกขมัว ในรถนั้นอุ่นกว่าที่นี่ตั้งเยอะ
“อยากเจอคุณเร็วๆ”
ฉันเงยหน้าแล้วถลึงตาใส่เขา “พูดออกมาได้”
ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่มีผู้หญิงคนไหนบ้างที่ไม่ชอบฟังคำพูดหวานๆ อย่างน้อยฉันคนหนึ่งละที่ชอบ
ฉันบังคับตัวเองให้หยุดยิ้มไม่ได้ พอสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ฝ่ามือ ฉันจึงก้มลงมอง จึงพบว่าลู่จือสิงกำลังจับมือฉันอยู่
ฉันพยายามดึงมือออกแต่ทำไม่สำเร็จ จนตอนนี้เราทั้งคู่เดินออกมาจากบริษัทแล้ว ฉันจึงเลิกใส่ใจและปล่อยให้เขาจูงฉันไป
หลังจากคาดเข็มขัดนิรภัยฉันก็เอ่ยถามเขาว่า “เรื่องหลินเมิ่งเซียเป็นฝีมือคุณใช่ไหม”
แม้ว่าจุดยืนทางด้านศีลธรรมของหลินเมิ่งเซียจะค่อนข้างแย่ แต่รูปร่างหน้าตาของเธอก็สวย แถมความสามารถในการสื่อสารของเธอยังยอดเยี่ยมมาก
แต่ว่าตอนนี้บริษัทกลับไล่เธอออกอย่างกะทันหัน จนฉันคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติ
ลู่จือสิงหันมามองฉัน “หลินเมิ่งเซียอะไร?”
ฉันขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยเชื่อว่าลู่จือสิงจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เลยเปลี่ยนคำถาม “คุณได้คุยอะไรกับเจ้านายของเราหรือเปล่า?”
เขาตอบฉันขณะที่ขับรถไปด้วย “เปล่านี่... แค่คิดว่าหลินเซียๆ อะไรนั่นดูไม่ค่อยโอเคสักเท่าไหร่”
ฉันมั่นใจว่าเขาอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แน่ๆ ไม่อย่างนั้นเขาจะรู้เรื่องที่หลินเมิ่งเซียถูกไล่ออกได้อย่างไร
แม้จะรู้สึกว่ามันเหมือนเป็นการกลั่นแกล้งหน่อยๆ แต่เมื่อนึกถึงตอนที่หลินเมิ่งเซียก่อกวนฉันก่อนหน้านี้ ฉันก็อดรู้สึกโล่งขึ้นมาไม่ได้
ลู่จือสิงหยุดรถเมื่อข้างหน้าเป็นไฟแดง แล้วจู่ๆ ก็ถามฉันว่า “คุณไม่ดีใจเหรอ”
ฉันงงไปนิดหนึ่ง “ทำไมฉันถึงจะไม่ดีใจล่ะ”
“แล้วทำไมคุณถึงหยุดพูดไปเฉยๆ”
เขามองฉันด้วยความน้อยใจ
ช่วงหลังมานี้ฉันสังเกตว่าลู่จือสิงชอบทำตัวออดอ้อนบ่อยๆ พอเห็นท่าทางของเขาแล้วฉันก็รู้สึกขำ “ฉันมีความสุขอยู่ในใจเงียบๆ”
“คุณก็ทำให้ผมมีความสุขเหมือนกัน!”
ฉันเหลือบมองเขาแล้วยิ้มให้ “ประธานลู่... คุณทำได้ดีมาก!”
“มีรางวัลไหม?”
คนคนนี้ได้คืบจะเอาศอก เมื่อครู่นี้ฉันไม่ควรเออออไปกับเขาเลย
ฉันไม่อยากใส่ใจเขาจึงตัดสินใจไม่พูดอะไรอีก
ประจวบกับที่ไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียวพอดี ฉันจึงชี้ให้เขาดูข้างหน้า
เขามองฉันด้วยแววตาที่ลึกซึ้งจนฉันรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ “ขับรถดีๆ!”
“ครับคุณหญิงลู่!”
ก่อนหน้านี้ทำไมฉันถึงไม่เคยรู้สึกว่าคำว่า “คุณหญิงลู่” จะน่าฟังเท่านี้มาก่อนนะ!
เพราะกลัวว่าลู่จือสิงจะเห็นว่าฉันยิ้ม ฉันจึงเบือนหน้าหนีและหันไปมองทางหน้าต่างทว่าก็ยังอดยิ้มไม่ได้
ตอนแรกฉันคิดว่าลู่จือสิงแค่พูดเล่นๆ เรื่องรางวัล แต่พอตกดึกฉันถึงตระหนักได้ว่าตัวเองยังไร้เดียงสาเกินไป
ตอนที่ฉันไม่ทันระวัง อยู่ๆ ลู่จือสิงก็หยิบอะไรบางอย่างออกมา
ตอนแรกฉันมองไม่ชัดว่ามันเป็นอะไรจนกระทั่งเขาแบมือออกตรงหน้าฉัน “คุณหญิงลู่ เรามาลองกันไหม”
ใบหน้าฉันแข็งทื่อ “ลู่จือสิง คุณ... คุณช่วยสุภาพหน่อยได้ไหม?!”
“คุณนายลู่... ผู้ชายที่สุภาพเมื่ออยู่บนเตียงมีแค่สองประเภทเท่านั้น!”
“สองประเภทไหน?”
ฉันยกมือขึ้นผลักเขา แต่เขาแรงเยอะเกินไปจนฉันถูกทับไว้ทั้งตัวและไม่สามารถผลักเขาออกได้อย่างสิ้นเชิง
“ประเภทแรกคือคนที่ไม่รักคุณ อีกประเภทหนึ่งคือพวกไร้ความสามารถ!”
“ไร้สาระ!”
เขาพูดพลางจับมือฉันแล้วโน้มศีรษะลงมามองฉันใกล้ๆ “แค่ครั้งเดียวนะ เพื่อเห็นแก่ความสุขของคุณในวันนี้ไง น่านะ”
พูดจบเขาก็ก้มลงมาจูบฉัน
ฉันทนไม่ได้ที่สุดตอนที่เขาเป็นแบบนี้ และเขารู้ก็ว่าฉันทนไม่ไหวจึงจงใจจูบฉันอีกครั้ง “คุณหญิงลู่?”
ฉันยังอับอายอยู่เล็กน้อย “ฉันทำไม่ได้ แบบนี้...”
“อย่ากังวลไปเลย คนอื่นเขาก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้น!”
ฉันคิดว่าคำพูดของเขามันตลก “คุณรู้ได้ยังไงว่าคนอื่นเขาก็ทำแบบนี้”
“คนขายบอกมา... เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาไง”
ฉันละเชื่อเขาจริงๆ “ความรักความสัมพันธ์ของเราก็ดีอยู่แล้ว”
“ไม่จริง ผมไม่เห็นรู้สึกว่าคุณจะรักผมมากเลย!”
“ฉันรักคุณมากๆ!”
“งั้นก็รักผมมากขึ้นไปอีก!”
ทันทีที่เขาพูดจบฉันก็รู้สึกว่ามีบางอย่างถูกยัดเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว ทันใดนั้นลู่จือสิงก็มองฉันแล้วยิ้มอย่างชั่วร้าย “เตรียมพร้อมหรือยังคุณนายลู่?”
“เตรียมอะไร อื้อ...”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้