หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้ นิยาย บท 225

นานๆ ทีฉีซิ่วหรานจะมาเมือง A สักครั้ง จึงไม่มีทางที่ฉันจะไม่พาเขาไปหาอะไรทานสักมื้อสองมื้อ

การประชุมสุดยอดจะมีขึ้นในวันที่ 18 มกราคม ส่วนฉีซิ่วหรานจะมาถึงวันที่ 16

วันนั้นเป็นวันเสาร์พอดี ฉันจึงวางแผนว่าจะไปรับเขาที่สนามบิน

ฉันเล่าสิ่งที่คิดไว้ให้ลู่จือสิงฟัง แต่เขาบอกว่าฉันไม่จำเป็นต้องไปรับที่สนามบิน เพราะฉีซิ่วหรานต้องมาตามแผนการเดินทางที่จัดเตรียมไว้ซึ่งโดยปกติจะมีคนไปรอรับอยู่แล้ว

ฟังจากที่เขาพูดมีหรือที่ฉันจะไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร ฉันจึงยกมือขึ้นห้าม “คุณก็พูดไปเรื่อย... เมื่อคืนเขาโทรมาบอกรายระเอียดไฟลท์วันพรุ่งนี้กับฉันแล้ว ฉันถามเขาแล้วว่ามีกำหนดการเดินทางหรือเปล่า เขาบอกว่าไม่มี พอฉันชวนไปกินข้าว เขาก็ไม่ปฏิเสธ”

ลู่จือสิงทำเสียงฮึอย่างเย็นชา “คุณบอกว่าเขางานยุ่งไม่ใช่หรือ”

ฉันขี้เกียจเถียงกับเขา ตอนนี้บ่ายโมงกว่าแล้ว ฉีซิ่วหรานจะมาถึงเมือง A ประมาณห้าโมงเย็น ฉันเลยตั้งใจว่าจะงีบตอนกลางวันสักหน่อยแล้วค่อยไปรับเขาที่สนามบิน

“ฉันง่วงแล้ว จะไปงีบละ”

“ไม่ได้นะ กลับมาก่อน! ซูยุ่น!”

ลู่จือสิงรั้งฉันเอาไว้ เขาแรงเยอะมากจนฉันเดินต่อไปไม่ได้ ทำได้แค่หันไปถลึงตาใส่เขา “ปล่อยนะ!”

“คุณจะไปรับฉีซิ่วหรานจริงๆ หรือ?”

ฉันว่าฉันก็แสดงออกชัดเจนนะ แต่ไม่รู้ทำไมลู่จือสิงถึงคิดว่าฉันจะล้อเล่น

ฉันกรอกตาและยกมือข้างหนึ่งขึ้นแกะนิ้วของเขาออกพลางพูดว่า “อะไรทำให้คุณคิดว่าฉันล้อเล่นเหรอ? ก่อนหน้านี้เขาเคยช่วยฉันไว้ตั้งหลายครั้ง ในเมื่อเขามาถึงเมือง A แบบนี้ ฉันจะไปรับเขาที่สนามบินแล้วมันแปลกตรงไหน?”

ลู่จือสิงลุกขึ้นยืน สีหน้าของเขาดูขรึมขึ้น

เขาสูงกว่าฉันเกินยี่สิบเซนติเมตร เมื่อยืนขึ้นต่อหน้าและมองฉันแบบนี้จึงดูเหมือนเขากำลังก้มมองฉันอยู่

ฉันมองเขาอย่างไม่ยอมแพ้ ถ้าเขากล้าทะเลาะกับฉันด้วยเรื่องแค่นี้ แปลว่าเขาคงไม่อยากจะขึ้นมานอนร่วมเตียงกับฉันไปอีกครึ่งเดือน!

เราสองคนยืนคุมเชิงกันอยู่อย่างนั้นเกือบสองนาที จนฉันหาวออกมาเพราะเริ่มง่วงเต็มที ขณะที่ฉันกำลังจะบอกเขาว่าฉันจะไปนอน ลู่จือสิงก็ชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า “ผมจะไปด้วย!”

ฉันคิดว่าเขาจะพูดอะไรเสียอีกหลังจากอัดอั้นไว้นาน แต่เขากลับพูดออกมาเพียงแค่สี่คำ

พอมองเขาแล้วฉันก็อดหัวเราะไม่ได้ รู้สึกเบาใจขึ้นมา “ฉันไม่ได้บอกว่าจะไม่ให้คุณไปด้วยซะหน่อย”

เขามองฉัน ดูเหมือนว่าจะโล่งใจ

ปฏิกิริยาเพียงเล็กน้อยนี้ทำให้ฉันใจสั่น ฉันยื่นมือออกไปดึงมือเขามากุมไว้ “โอเคแล้วนะ ฉันจะไปนอนกลางวันสักหน่อย คุณจะไปนอนด้วยกันไหม”

เป้ยเปยผล็อยหลับไปหลังจากกินอาหารมื้อกลางวัน ช่วงฤดูหนาวแบบนี้เขาจะต้องงีบหลับตอนบ่ายอย่างน้อยสองชั่วโมงทุกๆ วัน

อย่างไรซะฤดูหนาวก็เหมาะแก่การนอนมาก นอกจากนี้ฉันยังมีนิสัยไม่ชอบยืนหรือนั่งอยู่เฉยๆ ด้วย

ทันทีที่ฉันพูดจบ ลู่จือสิงที่ทำหน้าเครียดอยู่เมื่อครู่นี้ก็อุ้มฉันขึ้นมาทันที “เอาสิ”

เขาทำสิ่งนี้อย่างกะทันหันจนฉันถูกอุ้มขึ้นมาง่ายๆ เพราะไม่ทันเตรียมป้องกัน กว่าจะทำอะไรถูกเขาก็พาฉันเข้ามาในห้องนอนแล้ว

“คุณจะทำอะไรน่ะ”

ลู่จือสิ่งปล่อยฉันลงบนเตียง ฉันใช้มือยันที่นอนเอาไว้ขณะที่มองเขาพลางรู้สึกว่าเขาดูคึกผิดปกติ

“นอนกลางวัน”

เขาตอบแค่นั้นแล้วถอดเสื้อสเวตเตอร์ออก

นอนกลางวัน... ถอดสเวตเตอร์ออก... ดูเหมือนจะไม่มีอะไรผิดปกติ?

ฉันจะถอดสเวตเตอร์ออกเหมือนกัน แต่ไม่คิดว่าขณะที่ฉันกำลังยกมือขึ้นถอดเสื้อเตียงจะยวบลงไป พอเห็นลู่จือสิงยื่นมือออกมา ฉันก็รีบดึงผ้าห่มมาบังตัวเอาไว้โดยอัตโนมัติ “คุณจะทำอะไรน่ะ”

“งีบไง คุณอย่าเอาผ้าห่มไปห่มหมดสิ”

เขามองฉันด้วยสีหน้าจริงจัง และฉันก็มองไม่เห็นความผิดปกติอะไร

ฉันเม้มริมฝีปากนิดหนึ่งก่อนจะส่งผ้าห่มกลับไป

ฉันไม่อยากคุยเรื่อยเปื่อยกับเขาอีกจึงรีบถอดเสื้อออกจนเหลือไว้เพียงเสื้อตัวในสุด จากนั้นจึงดึงผ้าห่มมาห่มไว้ก่อนจะหลับตาหลงเพื่อจะงีบหลับ

“ซูยุ่น”

ลู่จือสิงขยับเข้ามาเหมือนหมีตัวใหญ่ๆ

ฉันยกมือขึ้นผลักเขา “คุณอย่าเข้ามาใกล้ รีบนอนไปเลย!”

“คุณหนาวหรือเปล่า”

ในที่สุดฉันรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่... เมื่อคืนเขาทำงานล่วงเวลา กว่าจะกลับฉันก็หลับไปแล้วเพราะว่ามันดึกมาก วันนี้วันหยุดเขาจึงมีอาการปั่นป่วน

“ไม่หนาว รีบนอนไปเลย!”

อาจเป็นเพราะท่าทีที่เด็ดขาดของฉันเขาจึงไม่พูดอะไรอีก

การนอนในฤดูหนาวนั้นไม่เกี่ยวกับเวลาโดยสิ้นเชิง ฉันกลัวว่าจะหลับเพลินจึงตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนบ่ายสาม

เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าลู่จือสิงยังคงหลับอยู่ ฉันหันไปมองรอยคล้ำใต้ตาที่เห็นได้เด่นชัดของเขา

สองวันที่ผ่านมาลู่จือสิงงานยุ่งมาก เขากลับมาถึงบ้านหลังสี่ทุ่มทุกวัน กว่าจะอาบน้ำเสร็จก็ปาไปห้าทุ่มกว่าแล้ว

ไหนจะยังต้องตื่นแต่เช้าอีก ฉันจึงไม่แปลกเลยถ้าใต้ตาเขาจะคล้ำแบบนี้

เนื่องจากเราใช้เวลาเดินทางไปสนามบินเพียงแค่สี่สิบนาที ฉันจึงไม่อยากปลุกเขาตอนนี้และลุกขึ้นไปแต่งตัวก่อน

“ซูยุ่น!”

ฉันกำลังนั่งใช้โทรศัพท์ค้นหาร้านอาหารอร่อยๆ อยู่ที่โซฟา ตั้งใจจะพาฉีซิ่วหรานไปกิน แต่ไม่คิดว่าอยู่ๆ ลู่จือสิงจะพรวดพราดออกมาแถมยังเรียกฉันซะเสียงดัง

เขาทำให้ฉันตกใจจนต้องเงยหน้าขึ้นมอง “คุณทำอะไรน่ะ ฉันตกใจหมดเลย!”

เขาเหลือบมองฉันแล้วหันหลังกลับเข้าไปในห้องอีกครั้งโดยไม่พูดอะไร

ฉันแปลกใจนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก

เป้ยเปยตื่นขึ้นมาตอนบ่ายสามและเราก็เริ่มออกเดินทางไปสนามบินตอนสี่โมงเย็น โดยที่ลู่จือสิงทำสีหน้าเรียบเฉยไปตลอดทาง

พวกเราไปถึงสนามบินตั้งแต่ก่อนห้าโมง โดยที่เที่ยวบินของฉีซิ่วหรานจะลงจอดตอนห้าโมงสิบห้านาที

เป้ยเปยชอบสิ่งแปลกใหม่และมองไปทั่วสนามบินอย่างอยากรู้อยากเห็น

ก่อนออกจากบ้านฉันดื่มน้ำไปแก้วใหญ่เพราะรู้สึกกระหาย ตอนนี้จึงต้องส่งเป้ยเปยให้ลู่จือสิงอุ้มแล้วขอตัวไปห้องน้ำ

ทว่าในห้องน้ำคนเยอะมากจนต้องเข้าคิวอยู่พักใหญ่กว่าจะถึงคิวของฉัน

เมื่อออกจากห้องน้ำฉันก็รีบดูนาฬิกา พอรู้ว่าเที่ยวบินของฉีซิ่วหรานลงจอดแล้วฉันจึงรีบวิ่งกลับไปอย่างรวดเร็ว

ฉันมองเห็นฉีซิ่วหรานกับลู่จือสิงยืนคุยกันมาแต่ไกล จึงเร่งความฝีเท้าวิ่งไปหา “ฉีซิ่วหราน”

ฉีซิ่วหลานดึงมือกลับและหันมามองฉัน “ซูยุ่น ไม่เจอกันนานเลยนะ”

ฉันยิ้มและยกมือขึ้นเตรียมจะกอดเขา แต่ไม่คิดว่าจะมีมือหนึ่งยื่นออกมาหยุดฉันไว้

ฉันเหลือบไปมองลู่จือสิงและอดถลึงตาใส่เขาไม่ได้ “คุณทำอะไรน่ะ?!” น่าขายหน้าจริงๆ!

เขาไม่มองฉันแต่กลับมองไปที่ฉีซิ่วหราน “ประธานฉีไม่อยากอุ้มเป้ยเปยหน่อยหรือ? ตอนนี้คุณอุ้มหน่อยไหม เดี๋ยวผมช่วยขนกระเป๋าให้ ซูยุ่นจองร้านอาหารไว้ให้แล้ว”

ลู่จือสิงพูดพลางส่งเป้ยเปยไปให้เขาอุ้ม

ดูเหมือนฉีซิ่วหรานจะอึ้งไปนิดหนึ่ง แต่หลังจากนั้นก็รับเป้ยเปยไว้

แม้ว่าฉันจะรู้ว่าเมื่อครู่นี้ลู่จือสิงจงใจทำอย่างนั้น แต่ฉันก็พูดอะไรไม่ได้และทำได้แค่เงียบเอาไว้

แต่ไม่คิดเลยว่าอยู่ๆ เป้ยเปยที่ทำตัวดีมาตลอดจะร้องไห้ออกมา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้