นานๆ ทีฉีซิ่วหรานจะมาเมือง A สักครั้ง จึงไม่มีทางที่ฉันจะไม่พาเขาไปหาอะไรทานสักมื้อสองมื้อ
การประชุมสุดยอดจะมีขึ้นในวันที่ 18 มกราคม ส่วนฉีซิ่วหรานจะมาถึงวันที่ 16
วันนั้นเป็นวันเสาร์พอดี ฉันจึงวางแผนว่าจะไปรับเขาที่สนามบิน
ฉันเล่าสิ่งที่คิดไว้ให้ลู่จือสิงฟัง แต่เขาบอกว่าฉันไม่จำเป็นต้องไปรับที่สนามบิน เพราะฉีซิ่วหรานต้องมาตามแผนการเดินทางที่จัดเตรียมไว้ซึ่งโดยปกติจะมีคนไปรอรับอยู่แล้ว
ฟังจากที่เขาพูดมีหรือที่ฉันจะไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร ฉันจึงยกมือขึ้นห้าม “คุณก็พูดไปเรื่อย... เมื่อคืนเขาโทรมาบอกรายระเอียดไฟลท์วันพรุ่งนี้กับฉันแล้ว ฉันถามเขาแล้วว่ามีกำหนดการเดินทางหรือเปล่า เขาบอกว่าไม่มี พอฉันชวนไปกินข้าว เขาก็ไม่ปฏิเสธ”
ลู่จือสิงทำเสียงฮึอย่างเย็นชา “คุณบอกว่าเขางานยุ่งไม่ใช่หรือ”
ฉันขี้เกียจเถียงกับเขา ตอนนี้บ่ายโมงกว่าแล้ว ฉีซิ่วหรานจะมาถึงเมือง A ประมาณห้าโมงเย็น ฉันเลยตั้งใจว่าจะงีบตอนกลางวันสักหน่อยแล้วค่อยไปรับเขาที่สนามบิน
“ฉันง่วงแล้ว จะไปงีบละ”
“ไม่ได้นะ กลับมาก่อน! ซูยุ่น!”
ลู่จือสิงรั้งฉันเอาไว้ เขาแรงเยอะมากจนฉันเดินต่อไปไม่ได้ ทำได้แค่หันไปถลึงตาใส่เขา “ปล่อยนะ!”
“คุณจะไปรับฉีซิ่วหรานจริงๆ หรือ?”
ฉันว่าฉันก็แสดงออกชัดเจนนะ แต่ไม่รู้ทำไมลู่จือสิงถึงคิดว่าฉันจะล้อเล่น
ฉันกรอกตาและยกมือข้างหนึ่งขึ้นแกะนิ้วของเขาออกพลางพูดว่า “อะไรทำให้คุณคิดว่าฉันล้อเล่นเหรอ? ก่อนหน้านี้เขาเคยช่วยฉันไว้ตั้งหลายครั้ง ในเมื่อเขามาถึงเมือง A แบบนี้ ฉันจะไปรับเขาที่สนามบินแล้วมันแปลกตรงไหน?”
ลู่จือสิงลุกขึ้นยืน สีหน้าของเขาดูขรึมขึ้น
เขาสูงกว่าฉันเกินยี่สิบเซนติเมตร เมื่อยืนขึ้นต่อหน้าและมองฉันแบบนี้จึงดูเหมือนเขากำลังก้มมองฉันอยู่
ฉันมองเขาอย่างไม่ยอมแพ้ ถ้าเขากล้าทะเลาะกับฉันด้วยเรื่องแค่นี้ แปลว่าเขาคงไม่อยากจะขึ้นมานอนร่วมเตียงกับฉันไปอีกครึ่งเดือน!
เราสองคนยืนคุมเชิงกันอยู่อย่างนั้นเกือบสองนาที จนฉันหาวออกมาเพราะเริ่มง่วงเต็มที ขณะที่ฉันกำลังจะบอกเขาว่าฉันจะไปนอน ลู่จือสิงก็ชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า “ผมจะไปด้วย!”
ฉันคิดว่าเขาจะพูดอะไรเสียอีกหลังจากอัดอั้นไว้นาน แต่เขากลับพูดออกมาเพียงแค่สี่คำ
พอมองเขาแล้วฉันก็อดหัวเราะไม่ได้ รู้สึกเบาใจขึ้นมา “ฉันไม่ได้บอกว่าจะไม่ให้คุณไปด้วยซะหน่อย”
เขามองฉัน ดูเหมือนว่าจะโล่งใจ
ปฏิกิริยาเพียงเล็กน้อยนี้ทำให้ฉันใจสั่น ฉันยื่นมือออกไปดึงมือเขามากุมไว้ “โอเคแล้วนะ ฉันจะไปนอนกลางวันสักหน่อย คุณจะไปนอนด้วยกันไหม”
เป้ยเปยผล็อยหลับไปหลังจากกินอาหารมื้อกลางวัน ช่วงฤดูหนาวแบบนี้เขาจะต้องงีบหลับตอนบ่ายอย่างน้อยสองชั่วโมงทุกๆ วัน
อย่างไรซะฤดูหนาวก็เหมาะแก่การนอนมาก นอกจากนี้ฉันยังมีนิสัยไม่ชอบยืนหรือนั่งอยู่เฉยๆ ด้วย
ทันทีที่ฉันพูดจบ ลู่จือสิงที่ทำหน้าเครียดอยู่เมื่อครู่นี้ก็อุ้มฉันขึ้นมาทันที “เอาสิ”
เขาทำสิ่งนี้อย่างกะทันหันจนฉันถูกอุ้มขึ้นมาง่ายๆ เพราะไม่ทันเตรียมป้องกัน กว่าจะทำอะไรถูกเขาก็พาฉันเข้ามาในห้องนอนแล้ว
“คุณจะทำอะไรน่ะ”
ลู่จือสิ่งปล่อยฉันลงบนเตียง ฉันใช้มือยันที่นอนเอาไว้ขณะที่มองเขาพลางรู้สึกว่าเขาดูคึกผิดปกติ
“นอนกลางวัน”
เขาตอบแค่นั้นแล้วถอดเสื้อสเวตเตอร์ออก
นอนกลางวัน... ถอดสเวตเตอร์ออก... ดูเหมือนจะไม่มีอะไรผิดปกติ?
ฉันจะถอดสเวตเตอร์ออกเหมือนกัน แต่ไม่คิดว่าขณะที่ฉันกำลังยกมือขึ้นถอดเสื้อเตียงจะยวบลงไป พอเห็นลู่จือสิงยื่นมือออกมา ฉันก็รีบดึงผ้าห่มมาบังตัวเอาไว้โดยอัตโนมัติ “คุณจะทำอะไรน่ะ”
“งีบไง คุณอย่าเอาผ้าห่มไปห่มหมดสิ”
เขามองฉันด้วยสีหน้าจริงจัง และฉันก็มองไม่เห็นความผิดปกติอะไร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้