หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้ นิยาย บท 240

หลี่ฮุ้ยหรูมองฉันด้วยสีหน้าดีอกดีใจ: “ใช่ค่ะ ฉันก็ไม่คิดว่าจะบังเอิญขนาดนี้นะคะ!”

ฉันยิ้มไม่ออก: “เพื่อนเธอยังรอเธออยู่นี่ ฉันไปก่อนนะ”

“อ๊ะ พี่ซูยุ่น รอเดี๋ยวค่ะ!”

ฉันเตรียมจะหมุนตัวออก จู่ๆ เธอก็ดึงฉันเอาไว้

ฉันไม่ชอบให้คนมาดึงฉันอย่างกะทันหันแบบนี้ และเหมือนลู่จือสิงจะดูออกจึงออกแรงเล็กน้อย ดึงฉันมาไว้ข้างตัวเขา หลี่ฮุ้ยหรูได้แค่ค้างมืออยู่ตรงนั้น

สีหน้าเธอเหมือนจะแข็งขึ้นมาเล็กน้อย แต่เพียงไม่นานก็ส่งรอยยิ้มกลับมาดังเดิม: “พี่ซูยุ่น พี่จะกลับบริษัทหรือคะ? ประธานลู่คงจะขับรถมา ฉันขอติดรถไปด้วยได้มั้ยคะ? เวลานี้หาเรียกรถยากมากเลยนะค่ะ!” ฉันไม่คิดจะเอาเธอไปด้วย แต่เธอได้พูดออกมาแล้ว ฉันจึงได้แต่พยักหน้าออกไป: “แล้วเพื่อนของเธอล่ะ?”

“ไม่เป็นไรคะ เดี๋ยวหนูไปบอกเพื่อนก่อนนะคะ”

เธอพูดแล้วก็วิ่งไป

เพื่อนของเธอหันมามองฉัน ไม่รู้เธอไปพูดอะไรกับเขาบ้าง

ฉันหันข้างไปมองลู่จือสิง: “อีกสองวันฉันคงต้องพูดกับติงหยวนซักหน่อยแล้วค่ะ”

บริษัทไม่จำเป็นต้องเก็บคนเช่นนี้เอาไว้จริงๆ เธอเจ้าแผนการเกินไป คิดว่าผู้อื่นไม่รู้ ก็แค่ฉันยังไม่อยากเปิดโปงออกมาเท่านั้น

อายุยังน้อย อยากเรียนอะไรไม่เรียน กลับคิดจะเดินทางลัด

ฉันยิ้มอย่างเย็นชา หลี่ฮุ้ยหรูกลับมาเร็วมาก

“ประธานลู่คะ รถคันนี้ราคาหลายล้านใช่มั้ยคะ?”

ลู่จือสิงเป็นคนถ่อมตัวในเรื่องรถมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ถึงจะถ่อมตัวอย่างไร ในฐานะที่เขาเป็นประธานใหญ่ของกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ ขับรถทั้งทีจะขับรถกระจอกๆ ได้อย่างไรกัน

รถคันนี้ลู่จือสิงเพิ่งซื้อมาเมื่อปีที่แล้ว ตอนซื้อมาใหม่ๆ ฉันเคยเข้าไปดูราคาในเว็บไป่ตู้ แค่เห็นราคาฉันก็ตกใจจนพูดไม่ออก

แม้ว่าในคลังสมบัติน้อยๆ ของฉันจะมีเงินอยู่ไม่น้อย แต่พอเห็นราคารถของลู่จือสิงก็รู้สึกว่าตัวเองจนขึ้นมาเลย

พอได้ยินคำพูดของหลี่ฮุ้ยหรูฉันก็พยักหน้าแบบขอไปทีแล้วจึงคาดเซฟตี้เบล

จากนั้นหลี่ฮุ้ยหรูที่อยู่ด้านหลังก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ฉันมองลู่จือสิง เขายื่นมือมากุมมือฉัน แล้วเอานิ้วมือกดที่ฝ่ามือฉัน

ฉันขำออกมาเล็กน้อย แล้วหันข้างไปมองเขาบอกเป็นนัยๆ ว่าอย่าได้ก่อกวน บนรถคันนี้ยังมีคนอื่นอยู่นะ!

เขาเลิกคิ้วขึ้น จากนั้นก็ไม่วุ่นวายอะไรอีก

เนื่องจากอยู่ไม่ไกลจากบริษัท เพียงไม่นานก็มาถึงใต้ตึกบริษัท

พอฉันปิดประตูรถก็ได้ยินเสียงหลี่ฮุ้ยหรูพูดกับลู่จือสิงว่า: “ประธานลู่ วันนี้ขอบคุณคุณมากจริงๆ ค่ะ!”

นี่เธอทำเหมือนฉันตายไปแล้วหรือ?

ใบหน้าฉันเย็นขึ้นมา จากนั้นก็หมุนตัวเดินไป แต่เธอก็ตามมาเร็วมาก: “พี่ซูยุ่น พี่รอฉันก่อนค่ะ!”

ฉันหันกลับไปมองเขา พูดอย่างเย็นชาไปตลอดทั้งตัวว่า: “หลี่ฮุ้ยหรู อายุเธอก็ไม่น้อยแล้ว เรื่องอะไรควรทำ เรื่องอะไรไม่ทำ เธอน่าจะรู้บ้างนะ?”

เดาว่าเธอคงคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ ฉันจะระเบิดออกมา จึงมองฉันแล้วผงะไปทั้งตัว

ฉันไม่สนใจเขา พอลิฟต์เปิดก็รีบเดินเข้าไป

เวลานี้หลี่ฮุ้ยหรูดึงสติกลับมาได้แล้ว จึงรีบเดินเข้าไป “พี่ซูยุ่น เมื่อกี้พี่พูดอะไรหรือคะ ฉันฟังไม่เข้าใจ หรือฉันทำอะไรไม่ดีอีกแล้วใช่มั้ยคะ?”

พูดตามตรงถึงเธอจะเล่นเล่ห์เพทุบาย หรือมีชั้นเชิงขั้นสูง ฉันก็รู้สึกว่าไม่มีอะไร แต่คนอย่างหลี่ฮุ้ยหรู อุบายก็มีไม่มาก แล้วยังเพียรจะเล่นให้ได้ ทำให้ฉันรู้สึกหงุดหงิดจริงๆ

ฉันไม่คิดจะพูดกับเธอแล้ว จึงถอยหลังไปหนึ่งก้าว

ในที่สุดหลี่ฮุ้ยหรูก็คงจะดูออกถึงความโกรธของฉันบ้างแล้วกระมัง ถึงไม่พูดกับฉันอีก

พอออกมาจากลิฟต์ฉันก็เดินตรงไปทางออฟฟิค จู่ๆ เซี่ยงฉิงก็เดินออกมาจากห้องน้ำ ฉันไม่ทันสังเกตจึงชนกับเธอเข้า

เธอสูดหายใจ: “เธอเดินเร็วขนาดนี้——”

เซี่ยงฉิงพูดได้ครึ่งเดียวก็หยุดพูดกลางคัน

ฉันรู้ว่าเธอจะต้องเห็นหลี่ฮุ้ยหรูเดินตามหลังฉันมาแน่ๆ แต่ฉันไม่ผิดเสียหน่อย ฉันจะไปรู้ได้อย่างไรว่าหลี่ฮุ้ยหรูจะทำตัวเหมือนวิญญาณที่ตามรังควานไม่เลิกอย่างนี้ ไม่ว่าฉันจะไปไหนจะต้องเห็นเธอตลอด

“พี่เซี่ยงฉิง”

หลี่ฮุ้ยหรูอยู่ที่นี่ก็ยังวางตัวดี เห็นคนก็ทักขึ้นมาก่อน

เธอคงรู้ว่าฉันโกรธแล้ว ครั้งนี้พอเรียกชื่อเซี่ยงฉิงแล้วก็รู้ตัวที่จะเดินกลับเข้าไปใน

ออฟฟิคด้วยตัวเอง ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก

เซี่ยงฉิงดึงฉันไปด้านข้าง: “เกิดอะไรขึ้น? เขาทำอะไรมาเธอถึงโกรธได้ขนาดนี้?”

เมื่อคิดถึงเรื่องเมื่อสักครู่ ฉันก็คิดอยู่สักพักหนึ่ง ฉันยังไม่อยากพูดออกไปหมด จึงพูดแค่เรื่องที่หลี่ฮุ้ยหรูหน้าด้านเนียนขอติดรถมาด้วย

“เธอคนนี้เป็นอะไร ทำไมถึงหน้าด้านขนาดนี้?!”

พอได้ยินคำพูดเช่นนี้ ฉันก็รู้สึกดีขึ้น แต่ก็ปวดหัวมากเช่นกัน: “ฉันตั้งใจว่าอีกสองวันจะคุยกับติงหยวนเกี่ยวกับเรื่องของเขา ฉันไม่รู้ว่าเขาเรียนมหาวิทยาลัยมาได้อย่างไร แต่ความสามารถไม่ไหวจริงๆ”

เซี่ยงฉิงพยักหน้า: “เรื่องนี้ฉันเห็นด้วย อีกอย่างลี่ฮุ้ยหรูก็ร่าเริงกระฉับกระเฉงเกินไป แผนกของพวกเราจะต้องมาคอยยิ้มเหมือนอยู่ในวัดเพื่อโอ๋เธอก็คงจะทำไม่ไหว!”

เมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยงฉิงฉันก็ขำออกมาอย่างอดไม่อยู่: “เอาล่ะ รอให้ติงหยวนกลับมาจากทำงานนอกสถานที่แล้วฉันจะบอกเรื่องนี้กับเขาเอง อย่างไรก็ควรจะพูดกันต่อหน้าดูจะเหมาะสมกว่า”

“อย่าลืมล่ะ แค่เห็นหน้าเขาอยู่ในแผนกของพวกเราเพิ่มอีกหนึ่งวัน ฉันก็อารมณ์ไม่ดีขึ้นมาแล้ว”

“ฉันก็เหมือนกัน!”

ในตอนแรกฉันยังไม่มีความคิดเห็นอะไรมากเกี่ยวกับลี่ฮุ้ยหรู แต่ตั้งแต่เรื่องเมื่อวานบวกกับของวันนี้มันทำให้ฉันรับคนอย่างเธอไม่ได้แล้ว รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสามารถพอที่จะสอนงานเธอได้อีกต่อไป

คงเป็นเพราะฉันอารมณ์เสียใส่เธอไปเมื่อตอนกลางวัน ลี่ฮุ้ยหรูจึงซึมไปตลอดทั้งบ่าย ฉันส่งงานให้เธอทำเธอก็ไม่พูดอะไรออกมา เมื่อทำผิดฉันก็ไปบอกข้างๆ เธอๆ ก็พยักหน้าพูดว่าผิดไปแล้วค่ะ

เห็นเธอเดินออกไป ฉันก็อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมานวดขมับ

ปวดหัวเหลือเกิน ไม่รู้เมื่อไหร่ติงหยวนถึงจะกลับมา

เลิกงานแล้ว ลี่ฮุ้ยหรูก็ไม่กล้ามาทำตัวสนิทสนมกับฉันอีก เธอเพียงกล่าวคำอำลาแล้วก็เดินไป

ถงเจียหลินเดินมามองฉันอย่างเหลือเชื่อ: “สวรรค์ เธอไปทำอะไรเขา เขาถึงซึมลงไปเยอะแบบนี้?”

ฉันยกมือนวดขมับ: “ใครจะรู้ว่าซึมจริงหรือแกล้งซึมอยู่กันแน่!”

“เธอก็อย่าร้อนใจไป เดี๋ยวติงหยวนก็กลับมาแล้ว พอกลับมาก็ไปพูดซักหน่อย เธอก็เป็นอิสระล่ะ”

ฉันพยักหน้า: “ไม่คุยด้วยแล้ว ฉันไปก่อนล่ะ เธอก็สู้ๆ นะ!”

ถงเจียหลินกำลังง่วนกับโครงการหนึ่ง ช่วงนี้จึงต้องอยู่ทำโอที

ฉันยิ้มให้ แล้วหยิบกระเป๋าเดินจากไป

ตอนหัวค่ำขณะที่กำลังอาบน้ำอยู่ฉันก็นึกเรื่องที่เจิ้งเยว่พูดขึ้นมาได้ พอเห็นลู่จือสิงอาบน้ำออกมาแล้วจึงรีบถามเขาไปว่า: “หลังปีใหม่ฉันต้องไปเมือง J สักครั้ง คุณว่าเป็นเดือนกุมภาพันธ์หรือเดือนมีนาคมดีคะ?”

หลังเดือนมีนาคม ฉันก็จะต้องมาดูกิจกรรมทั้งหมดแล้ว

ลู่จือสิงนั่งลง ดึงฉันเข้ามากอด จากนั้นก็ก้มศีรษะลงมาจะจูบฉัน ฉันรีบผลักเขาออก: “ไม่กวนนะคะ”

เขาก้มศีรษะลงมามองฉัน: “ไม่ไปได้มั้ยครับ?”

ฉันยิ้มไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก: “ไม่ได้ค่ะ!”

“งั้นคุณไปเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคมมันต่างกันตรงไหนล่ะครับ?”

“……”

ฉันรู้สึกว่าเขาพูดค่อนข้างมีเหตุผล จึงไม่รู้จะพูดอะไรออกไปอยู่พักหนึ่ง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้