หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้ นิยาย บท 242

ไม่รู้ว่ามีผลทางจิตใจหรือไม่ แต่พอฉันดื่มลงไปแล้วก็รู้สึกไม่เจ็บมากขนาดนั้นอีก

ฉันจึงใช้โอกาสตอนที่ไม่ปวดนี้โฟกัสไปที่คอมพิวเตอร์ และคิดวางแผนงานออกมาโดยเร็ว ไม่อย่างนั้นพอปวดขึ้นมาแล้ว คงได้ลาป่วยขึ้นมาจริงๆ!

ตอนพักกลางวันเซี่ยงฉิงถามฉันว่าทำไมสีหน้าดูแย่ขนาดนี้ ฉันจึงยิ้มอย่างขมขื่นแล้วตอบไปว่าประจำเดือนมา

เซี่ยงฉิงรู้อยู่ว่าเวลาประจำเดือนฉันมาจะทรมานมากเป็นพิเศษจึงไม่พูดอะไรกับฉันอีก

หลังกลับจากทานข้าว ลู่จือสิงได้โทรเข้ามา

“ยังเจ็บอยู่มั้ยครับ?”

ฉันรู้ว่าเขาจะต้องโทรมาถามฉันเรื่องนี้ จึงเล่าออกไปและเสริมอีกประโยคว่า: “จะมีไม่สบายอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ฉันไม่ทรมานขนาดนั้นแล้วค่ะ”

“คุณไม่ได้โกหกผมนะ?”

ฉันพูดไม่ออกบอกไม่ถูก: “ประธานลู่คะ ทำไมฉันจะต้องโกหกคุณในเรื่องนี้ด้วยคะ? ถ้าคุณไม่เชื่อก็โทรไปถามเซี่ยงฉิงดูได้ค่ะ!”

ตอนนี้ลู่จือสิงถึงตอบกลับมาว่า: “ไม่เจ็บก็ดีแล้ว”

ฉันยิ้มออกมา: “เอาล่ะค่ะ ฉันไม่พูดแล้วนะคะ จะกลับไปเขียนแผนงานต่อ”

ตกบ่ายจู่ๆ ฉันก็ปวดท้องอย่างรุนแรง จึงวิ่งเข้าห้องน้ำไปสองรอบ ออกมาก็หมดเรี่ยวหมดแรงไปทั้งตัว

พอเซี่ยงฉิงเห็นเข้าก็ทักฉันว่าจะลางานหรือไม่ ฉันส่ายศีรษะ: “ไม่เป็นไร ฉันนอนคว่ำหน้าพักสักครู่หนึ่งก็น่าจะดีขึ้น!”

ม้ามและกระเพาะอาหารฉันไม่ดี เวลามีประจำเดือนจึงท้องเสียอยู่บ่อยครั้ง ฉันจึงไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องสำคัญอะไร

ฉันกลับเข้าบ้านในตอนเย็น เมื่อทานอาหารไปหน่อยก็เกิดอาการปวดท้องขึ้นมา จึงวิ่งไปเข้าห้องน้ำ

ลู่จือสิงเห็นท่าทางของฉันที่เป็นแบบนี้ ก็เอาเสื้อนอกมาคลุมตัวฉันไว้ ฉันตกใจขึ้นมา: “คุณทำอะไรคะ?”

“ไปโรงพยาบาล คุณตกใจโอเว่อร์ไปหรือเปล่าครับ?”

ฉันไม่ไปเด็ดขาด: “ไม่เอา ฉันประจำเดือนมา คุณส่งฉันไปโรงพยาบาลคุณหมอก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอกค่ะ!”

“ฉีดยาแก้ปวดได้ครับ!”

“ไม่เอาคะ จะให้ฉีดยาแก้ปวดไปตลอดไม่ได้หรอกค่ะ?!”

ในที่สุดคำพูดของฉันก็ทำให้ลู่จือสิงรู้สึกไขว่เขวขึ้นมา ตกดึกเขาจึงต้มขิงใส่น้ำตาลแดงให้ฉันแก้วหนึ่ง เมื่อฉันดื่มลงไปแล้วก็รู้สึกดีขึ้น แต่ก่อนนอนยังต้องวิ่งไปเข้าห้องน้ำอีกรอบ

วันต่อมาฉันรู้สึกว่าตัวเองดีขึ้น เนื่องจากวันนี้เป็นวันส่งแผนโครงการ ฉันจึงต้องไปบริษัท

ฉันดีใจมากที่วันนี้ประจำเดือนไม่สร้างปัญหาให้อีก ไม่อย่างนั้นถ้าดูจากนิสัยของลู่จือสิง เขาคงจะบีบบังคับให้ฉันไปโรงพยาบาลแทนการไปทำงาน

ฉันไม่ได้ปวดท้องประจำเดือนแบบเมื่อวานนี้มานานมากแล้ว ลู่จือสิงบอกกับฉันว่าช่วงบ่ายถ้าเป็นไปได้อยากให้ลากลับมาพักผ่อน

ฉันตอบรับทางวาจา แต่ในความเป็นจริงฉันจะลางานได้อย่างไรในเมื่อวันนี้มีงานหลายอย่างที่จักต้องทำ

“พี่ซูยุ่นยังต้องชงน้ำซุปอยู่มั้ยคะ?”

ขณะที่ฉันกำลังเปิดคอมพิวเตอร์หลี่ฮุ้ยหรูก็มาถามฉัน

ฉันอึ้งไปเล็กน้อยแต่พอนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานที่ดื่มน้ำซุปแบบซองลงไปแล้วอาการเหมือนจะดีขึ้น จึงพยักหน้า: “ต้องการจ๊ะ”

“ฉันช่วยชงนะคะ เมื่อคืนฉันมีส่งแผนงานที่ฉันคิดเอาไว้ไปให้พี่อีกรอบแล้ว พี่ช่วยดูให้หน่อยนะคะ เพราะอีกบริษัทหนึ่งใกล้จะมาแล้ว!”

เขาพูดถึงขนาดนี้ฉันจึงได้แต่ยื่นของให้เขา: “ขอบใจจ๊ะ”

“ไอ้หยา ฉันพูดแล้วนะคะ พี่ซูยุ่นไม่ต้องเกรงใจฉันขนาดนี้ก็ได้ค่ะ!”

ฉันยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็โฟกัสไปที่คอมพิวเตอร์ ฉันเปิดแผนงานที่เธอส่งให้ฉันเมื่อคืนขึ้นมา

มีจุดปลีกย่อยที่ต้องแก้สองสามจุด แต่หากมองจากภาพรวมก็พบว่ายังไม่โดดเด่นเท่าไหร่

ฉันดีใจกับตัวเองที่เมื่อวานรีบทำสำรองไว้อีกชุดหนึ่ง ไม่อย่างนั้นหากวันนี้ส่งของ

หลี่ฮุ้ยหรูออกไป ทางติงหยวนและหวางเสี่ยวซินจะต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างแน่นอน!

“พี่ซูยุ่น”

พอฉันอ่านแผนงานของเธอจบ หลี่ฮุ้ยหรูก็กลับมา

“ขอบใจนะ”

ที่ควรมีมารยาทก็ควรต้องมีอยู่ ไม่ว่าเขากับฉันจะมีความสัมพันธ์เป็นอย่างก็ตาม

สิบโมงเป็นเวลาที่ผู้รับผิดชอบของฝ่ายหุ้นส่วนจะมากัน ฉันเปิดฝาแก้วน้ำออกมาเป่าพร้อมดื่มน้ำซุปลงไปด้วย จากนั้นก็นั่งปรับแต่งแผนงานจนสมบูรณ์แบบ

ประมาณเก้าโมงกว่าท้องของฉันก็เริ่มส่งสัญญาณไม่ดีขึ้นมาอีกแล้ว แต่ไม่เท่ากับช่วงที่ทรมานที่สุด ฉันจึงไม่ไปสนใจ

พอเวลาเก้าโมงครึ่ง จู่ๆ ก็เกิดอาการปวดอย่างรุนแรง โดยเฉพาะบริเวณลำไส้และกระเพาะอาหารจะปวดมากเป็นพิเศษ

พอคิดได้ว่าอีกสักครู่ทางหุ้นส่วนจะมาแล้ว ฉันจึงรีบไปเข้าห้องน้ำ

ตอนที่ออกมาจากห้องน้ำ ฉันก็ไม่มีแรงไปทั้งตัว

ฉันเจอะเข้ากับหวางเสี่ยวซินพอดี เขามองฉันแล้วก็ขมวดคิ้ว: “เธอไม่เป็นไรนะ ทำไมสีหน้าดูแย่ขนาดนี้?”

เขาเป็นผู้ชายฉันไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ จึงส่ายศีรษะอย่างเสียไม่ได้: “ไม่เป็นไรค่ะ แค่ปวดกระเพาะลำไส้นิดหน่อยเท่านั้นเองค่ะ!”

“สีหน้าคุณดูไม่ดีเอามากๆ อีกสักพักฝ่ายหุ้นส่วนจะมาแล้ว ถ้าหากไม่ไหวจริงๆ คุณลางานไปเถอะ ทางนี้เดี๋ยวผมจัดการเอง!”

“ไม่เป็นไรค่ะ ตอนนี้ฉันดีขึ้นมากแล้วค่ะ!”

ไปห้องน้ำกลับมาฉันก็ดีขึ้นมาแล้วจริงๆ

แต่หวางเสี่ยวซินบอกว่าสีหน้าฉันไม่ดูเอามากๆ เมื่อคิดๆ ดูแล้วฉันจึงตัดสินใจเข้าห้องน้ำไปเติมหน้า เปลี่ยนสีลิปสติกเป็นสีแดง เพื่อให้สีหน้าของตัวเองไม่ดูแย่ขนาดนั้น

ถงเจียหลินเห็นสีหน้าของฉันดูซีดมากจึงเทน้ำร้อนใส่แก้วมาให้ฉัน: “นี่เธอเป็นอะไรกันแน่ ลางานหน่อยมั้ย?”

ฉันส่ายศีรษะไปด้วยเก็บข้อมูลไปด้วย: “หุ้นส่วนกำลังจะมาแล้ว ฉันไม่เป็นไร ทนเอาหน่อยก็โอเคแล้ว”

ด้วยความที่เป็นผู้หญิงด้วยกัน เธอจึงเข้าใจ จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรมาก

“พี่ซูยุ่น สีหน้าพี่ดูแย่มาก ไม่เป็นไรจริงๆ นะคะ?”

ขณะที่ฉันกำลังจะลุกขึ้นก็มีเสียงของหลี่ฮุ้ยหรูดังมาจากด้านบน

ฉันเงยหน้าขึ้นมองเธอ: “ไม่เป็นไร เธอเตรียมแผนงานเรียบร้อยแล้วหรือยัง คิดดูแล้วใช่ไหมว่าจะพูดออกไปอย่างไรบ้าง? ผู้รับผิดชอบฝ่ายตรงข้ามเป็นคนพูดจาตรงๆ ถึงตอนนั้นก็อย่าไปถือสามากนัก!”

ฉันนึกถึงความปากร้ายของหลี่เซี่ยง เมื่อก่อนเคยร่วมงานกับเขาอยู่สองครั้ง ครั้งแรกถูกเขาวิจารณ์จนเกือบจะร้องไห้ ผ่านมาหลายปีจนทุกวันนี้จัดว่าชินเสียแล้ว แต่หลี่ฮุ้ยหรูไม่เหมือนกัน แม้ฉันจะไม่พอใจในบุคลิกและความสามารถของเธอคนนี้ แต่เธอยังเด็กและอ่อนประสบการณ์ จึงไม่อยากทิ้งภาพที่ไม่ดีในงานแรกให้กับเธอสักเท่าไหร่

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันหน้าด้านหน้าทนค่า!”

หลี่ฮุ้ยหรูไม่ใส่ใจในคำพูดของฉัน พอเห็นท่าทีที่ดูมุ่งมั่นอยากจะเอาชนะของเธอ ฉันก็เลยกลืนคำพูดของตัวเองลงคอไป

ช่างเถอะ จะทำดีไม่ได้ดีไปทำไม

คนที่มาในวันนี้มีหลี่เซี่ยงและคนหน้าใหม่อีกหนึ่งคน ฉันไม่เจอเขามาครึ่งปีแล้ว เมื่อเจอหน้าก็ย่อมต้องทักทายกันบ้างเป็นธรรมดา

หลี่เซี่ยงเป็นคนเข้มงวดและหยุมหยิมในการทำงานมาก แต่โดยส่วนตัวจัดว่าเป็นผู้ชายที่ดีคนหนึ่ง

แต่ไม่คิดเลยว่าคำพูดประโยคแรกที่เจอหน้ากันของเขาจะเหมือนกับหวางเสี่ยวซิน: “ซูยุ่น ทำไมสีหน้าคุณดูแย่จัง ถ้าไม่สบายก็อย่าฝืนเลย!”

ฉันรู้สึกเก้อเขิน จึงพูดยิ้มๆ แก้เก้อไปว่า: “ไม่ได้เป็นอะไรเลยค่ะ แค่ช่วงนี้พักผ่อนไม่เพียงพอนะค่ะ!”

เขาขมวดคิ้วราวกับจะพูดอะไรอีก ฉันจึงพูดขัดขึ้นมาว่า: “นี่คือหลี่ฮุ้ยหรู เป็นเด็กเทรนของเองฉันค่ะ แผนงานสองแผนในครั้งนี้เป็นผลงานของเด็กใหม่สายเลือดใหม่ผู้นี้ คุณลองดูนะคะว่าจะมีอะไรเซอร์ไพรส์อยู่บ้าง!”

หลี่เซี่ยงคนนี้ฉันรู้จักดี เขาเป็นคนทำงานจริงจังและให้ความสำคัญกับสุขภาพเช่นกัน ขืนปล่อยให้คุยเรื่องนี้ต่อ เขาคงมิวายบอกให้ฉันไปโรงพยาบาลและอยู่คุยกับหลี่ฮุ้ยหรูแทนเป็นแน่

ฉันไม่อยากจะคิดไปทางนั้น แต่หลี่ฮุ้ยหรูมั่นใจในตัวเองเกินไป หากฉันไม่อยู่คอยกดเธอเอาไว้ เกิดหลี่เซี่ยงพ่นไฟออกมา ทำให้สองคนนั้นทะเลาะกันก็ว่าไปอย่าง แต่ฉันกลัวว่าหากหลี่ฮุ้ยหรูอาละวาดขึ้นมาจะเลวร้ายเอามากๆ

หลี่เซี่ยงยักคิ้ว: “ยังมีคนเก่งกาจกว่าเธออีกหรือ? งั้นฉันต้องจับตาดูซักหน่อยแล้ว!”

พอเขาพูดจบ หวางเสี่ยวซินก็มองมาที่ฉัน ฉันยักไหล่อย่างจนปัญญา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้