หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้ นิยาย บท 279

ฉันไม่ป่วยมาปีกว่าแล้ว พอป่วยครั้งนี้กลับครึ่งเดือนกว่าถึงจะหาย

เพราะว่าป่วย ลู่จือสิงเลยไม่ให้ฉันไปรับเป้ยเปยกลับมา และอีกอย่างฉันก็รู้สึกว่าเป้ยเปยอยู่บ้านน้าชายก็ดูอยู่ดีเป็นสุข เลยอดใจไว้

พอฉันไปรับเป้ยเปย เป้ยเปยกอดฉันไว้ก็ร้องไห้เลย

ตั้งแต่เกิดมา นี้เป็นครั้งแรกที่เป้ยเปยร้องไห้หนักหน่วงขนาดนี้ ตอนเด็กเขาก็ไม่ใช่คนที่ชอบร้องไห้สักเท่าไหร่ คิดไม่ถึงว่าจะร้องไห้ขนาดนี้เพราะฉันไม่ได้อยู่กับเขาครึ่งเดือนกว่า เขากอดฉันไว้แล้วร้องไห้ไม่หยุด ไม่ว่าจะปลอบยังไงก็ไม่หยุดร้องไห้

จนกลับถึงบ้าน เป้ยเปยก็ยังร้องไห้เหมือนเดิม

ฉันมองลู่จือสิงอย่างทำไรไม่ถูก

เขายื่นมือมา “เอาเป้ยเปยมาให้ฉัน”

ฉันกลัวเป้ยเปยร้องไห้ต่อไปแบบนี้ กล่องเสียงอาจทนไม่ไหว เลยยื่นเป้ยเปยไปให้เขา

แต่เป้ยเปยจับมือฉันไม่ยอมปล่อย “จะเอาแม่ เอาแม่!”

น่าเอ็ดดู ฉันปล่อยมือไม่ลงเลย

“เป้ยเปยไม่ร้องดีไหม? แม่ไม่ดีเอง แม่ไม่ควรไม่ป่วย ไม่ควรปล่อยให้เป้ยเป้ยอยู่บ้านน้าปู่นานขนาด นี้ยังไม่ไปรับเป้ยเปยกลับ แม่ไม่ดีเอง เป้ยเปยตีแม่ดีไหม? ”

ปลอบประโลมตลอด จนถึงเวลาข้าวเย็น เป้ยเปยถึงจะหยุดร้องไห้

ฉันก้มลงมองเขา ร้องไห้จนตาเกือบบวมเลยทีเดียว ดูจนรู้สึกเจ็บจี๊ดที่ใจ

พอนึกถึงไม่ได้เจอเป้ยเปยครึ่งเดือน กลางคืนเป้ยเปยดึงฉันให้ฉันนอนกับเขา ฉันไม่คิดอะไรสักอย่างก็ตอบตกลงเลย

ลู่จือสิงอาบน้ำเสร็จออกมาดันประตูเข้ามา เห็นฉันกับเป้ยเปยอยู่บนเตียง ขมวดคิ้วอย่างคุกคิด “เป้ยเปยยังไม่นอน?”

ฉันส่ายหัว”นอนหลับแล้ว คืนนี้ฉันจะนอนกับเป้ยเปย ”

สีหน้าเขางอทันที “แล้วฉันละ?”

ฉันหยุดหัวเราะไม่ได้ “นายโตขนาดนี้แล้ว ทำไมยังทำเหมือนเป็นเป้ยเปยไปได้ รีบออกไป พรุ่งนี้วันเสาร์ นายพูดว่าจะพาเป้ยเปยไปห้างไม่ใช่หรอ?”

ลู่จือสิงไม่ได้พูดอะไร สอยเท้าเข้ามา

ฉันมองเขาอย่างตกใจ “นายทำไร?”

“คืนนี้ฉันก็จะนอนนี่ ยังไงเตียงก็กว้างพอ!”

“งั้นนายก็นอนฝั่งนั้นสิ นอนฝั่งเดียวกับฉันทำไมละ!”

เพราะกลัวเป้ยเปยจะตกเตียง ฉันกับลู่จือสิงเลยสั่งทำเตียงโดยเฉพาะให้เขา สองข้างมีที่กั้นไว้

กำลังพูดเสร็จ ลู่จือสิงก็ยกขาอ่อมฝั่งนั้นมาทางฉัน

ฉันยกมือดันเขา เขาดึงผ้าห่มแล้วก็มุดตัวเข้ามาทันที

ฉันถูกเขาทำจนไม่รู้จะพูดอะไรอีกแล้ว ทำได้แค่ให้เขาไปปิดไฟ “นายไปปิดไฟไป!”

เป้ยเปยยังเด็ก ตอนกลางคืนเรามักจะเปิดไฟเล็กไว้ให้

พอปิดไฟ แสงไฟข้างในกับมืดลงทันที ฉันกลัวจะทำให้เป้ยเปยตื่น เอาผ้าห่มมาจากห้องรับแขกมาห่มไว้ตั้งแต่แรกแล้ว

ลู่จือสิงดึงผ้าห่มฉันไปทันที เดิมฉันนอนทับผ้าห่มไว้ ถูกเขาดึงไป ตัวฉันก็หันกลับไปหน้าชนหน้ากับเขาเลย

“นายเบาหน่อย!”

“ได้ งั้นฉันจะเบาหน่อย !”

ขณะที่พูดอยู่ เขาก็นอนทับลงมาที่ตัวฉันกะทันหัน

ฉันอึ่งไป ยังไม่ทันตั้งตัว”นายจะทำไร? เป้ยเปยกำลัง......อืม!”

เขาก้มหัวลงมาก็จูบทันที ฉันกลัวจะโดนตัวเป้ยเปย ก็เลยไม่กล้าดิ้นเยอะ

ท่าทางลูจือสิงรีบร้อนมาก ยกมือก็ดันเสื้อผ้าฉันไว้เลย ฉันรู้ตัวว่าเขาจะทำอะไร อดไม่ได้ที่จะทุบอกเขาไปทีหนึ่ง เขากัดริมฝีปากฉัน จูบลงข้างล่างเรื่อยๆ “เกือบจะเดือนหนึ่งแล้วฉันไม่ได้แตะต้องเธอ !”

ฉันกัดฟันไว้ ดึงเขา”แค่คืนเดียว นายรีบร้อนขนาดนั้นเลยหรอ ....อื้ม.....! ”

ฉันกำลังพูดอยู่ ลู่จือสิงก็ใช้มือเข้าไปทันที ฉันไม่ทันตั้งตัว กระหึ่มออกมาเบาเบา แต่ว่าลูกชายอยู่ข้างๆ เลยระมัดระวังไว้ รีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเองไว้

ลู่จือสิงเหมือนรู้ทัน รู้ว่าฉันจะไม่ดิ้น เงยหน้าแสยะยิ้ม”เสียงเบาเบานะคุณภรรยา ถ้าทำให้ลูกชายตื่นละก็....... ”

ฉันทนมองท่าทีเขาไม่ได้ อดไม่ได้ที่จะกอดเขาแล้วอ้าปากกัดลงไปที่ไหล่เขา

เขาสูดลมหายใจเบาเบา ยกมือมาตบต้นขาฉัน “งอหน่อย!”

ฉันถูกเขาจูบจนเบลอไปหมด ทำตามที่เขาพูดไปแบบไม่รู้ตัว พอรู้ตัวเขากำลังถอดกางเกงฉัน ฉันรีบยกเท้าลง แต่ท่าทางเขาเร็วมากดึงกางเกงฉันหลุดออกจากขาไปเลย

ฉันกัดเขาไปอีก เขาเงยหน้าขึ้นมา จูบลงที่ปากฉันแรงๆทีหนึ่ง “เกิดปีหมาเหรอ เอาแต่กัดคน!”

พูดอยู่ มือเขาก็บีบแรงๆที่หน้าอกฉันไปทีหนึ่ง

ฉันรู้สึกเจ็บนิดๆและก็รู้สึกเคลิ้มๆ ออกเสียงไม่ได้ และก็อยากกัดเขา เหมือนว่าเขาจะรู้ว่าฉันจะทำอะไร มองฉันด้วยสายตาดุดัน “ลองกัดฉันอีกทีหนึ่งสิ!”

พูดอยู่ เขาก็เอาขาของฉันไปพันไว้ที่เอวเขา “พันแน่นๆ!”

เขาจูบฉันไปด้วยและพูดไปด้วย ลมหายใจอุ่นกลบเกลื่อนไปทั่วร่างกาย ราวกับว่าตัวเองแช่อ่างน้ำอุ่นอยู่

“อื้ม———”

พอเขาเข้ามา ฉันร้องออกมาอย่างทนไม่ได้ นึกถึงเป้ยเปยอยู่ข้างๆ ทำได้แค่กัดฟันทดไว้

ลู่จือสิงเงยหน้าขึ้นมองฉันแล้วยิ้ม ฉันจ้องตาใส่เขา อ้าปากไปกัดหน้าอกเขาลงไปทีนึง

เขากระหึ่มออกมาเบาเบา เขายิ่งใช้แรงเรื่อยๆ ในไม่ช้า ฉันก็ไม่รู้สึกตัวอะไรอีกเลย...

เพราะว่าเป้ยเปยอยู่ข้างๆ ฉันไม่ยอมให้เขาทำครั้งที่สอง ลู่จือสิงเลยต้องจำใจไม่ทำ

พอล้างเสร็จ ก็สิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว ฉันจ้องไปที่ลู่จือสิง”กลับไปนอนที่เตียงใหญ่ไป!”

“ฉันไม่ไป!”

ฉันกลัวเป้ยเปยตื่น ไม่อยากจะเถียงกับเขา

พอวันที่สอง ยังไม่ถึงแปดโมงฉันก็ตื่นแล้ว กำลังจะขยับตัว นึกขึ้นได้ว่าเป้ยเปยอยู่ข้างๆ จำเป็นต้องหยุดไว้อย่างนี้ ยื่นมือไปดึงลู่จือสิง

เขาตื่นพอดี ยื่นมือมาดึงฉันพอดี “ทำไม?”

“ฉันลืมว่าเป้ยเปยอยู่ข้างๆ เมื่อกี้ขยับตัวเกือบทับโดนเป้ยเปย”

เขาหึไปคำหนึ่ง “ดูสิว่าเธอจะกล้ามานอนกับเป้ยเปยอีกไหม”

ฉันจ้องไปที่เขา “รีบลุกขึ้น!”

เพราะว่ามีที่กั้น และลู่จือสิงก็บังฉันไว้ ฉันลงเตียงไม่สะดวก

พอกินข้าวเสร็จ ครอบครัวสามคนก็ไปเที่ยวห้างกัน รวดพาเป้ยเปยไปเล่นที่สวนสนุก

นี่เป็นครั้งแรกที่เป้ยเปยออกมาเล่นข้างนอก ฉันนึกว่าเขาเขินเลยไม่ค่อยเล่นกับเด็กๆอื่น กลับคิดไม่ถึงว่าเขามีนิสัยแบบนี้อยู่แล้ว พอขึ้นเนิสเซอรี่ถึงได้รู้

เห็นเป้ยเปยไม่กล้าเล่นกับเด็กคนอื่น ฉันและลู่จือสิงเลยให้เขาหยุดเล่นก่อนหมดเวลา พาเป้ยเปยไปกินข้าวที่ร้านอาหาร

“ซูยุ่น ?”

กลับคิดไม่ถึงว่าจะเจอเซี่ยงฉิงและฉีซิ่วหราน สองคนนี้เตรียมตัวจะแต่งงานแล้ว ฉีซิ่วหรานลางานกับบริษัทเรียบร้อยแล้ว ช่วงนี้เขาจะอยู่ตรงนี้

“บังเอิญจัง!”

“ใช่สิ เป้ยเป้ยตัวน้อย คิดถึงแม่ทูนหัวหรือเปล่า?”

เห็นเธอเล่นกับเป้ยเปย ฉันก็ไม่คุยกับเธอ มองไปที่ฉีซิ่วหราน”พวกนายคิดจะกินข้าวที่นี้ไหม? กินด้วยกันไหม?”

เขาหันไปมองเซี่ยงฉิง พยักหน้า”งั้นกินด้วยกัน”

“งานแต่งจะจัดที่เมืองT อีกไหม?”

เซี่ยงฉิงส่ายหัว “ไม่ไป เราสองคนอยู่ที่นี้ เลยตัดสินใจว่าจะจัดแค่ครั้งเดียว”

ฉันมองไปที่ฉีซิ่วหราน เขาเข้าใจว่าฉันจะถามอะไร “เซี่ยงฉิงพึ่งจะท้อง ความหมายของแม่ฉันคือไม่ต้องเหนื่อยอีกแล้ว”

ฉันเข้าใจทันที ไม่น่าเซี่ยงฉิงถึงพูดได้ตรงขนาดนี้

“ช่วงนี้น้าสบายดีไหม?”

“ดี เป็นห่วงเธอกับเป้ยเปยตลอด”

ฉันกำลังพูดอยู่ ถ้วยกลับมีเนื้อเยอะขึ้นมาก้อนหนึ่ง

ฉันเอียงหัวไปมองลู่จือสิง “นายกินเหอะ ฉันคีบเองได้”

“อืม”

รู้สึกเหมือนว่าอารมณ์จะไม่ดียังไงไม่รู้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้