หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้ นิยาย บท 286

ฉันมองรอยยิ้มบนใบหน้าของลู่จือสิง ในที่สุดก็ไม่ได้เอ่ยปากโจมตีเขา

"ต้องการทานอะไรหน่อยไหม?"

พอเข้าห้องแขกวีไอพี ลู่จือสิงก็ถามฉัน

ฉันส่ายหน้า "ไม่ต้องหรอก"

ตอนที่อยู่บนรถฉันทานขนมเค้กมาบ้างแล้ว แต่ไม่ค่อยอยากอาหาร ดังนั้นตอนนี้ก็ไม่ได้อยากจะทานอะไร

เวลาสิบเอ็ดโมงสิบห้า ลู่จือสิงและฉันก็ไปที่ห้องรับรองผู้โดยสาร

ห้องรับรองผู้โดยสารมีการเตือน แต่ลู่จิสิงดึงฉันตลอด ไม่ให้ฉันมอง ไม่เช่นนั้นก็จะยืนปิดกั้นขวางสายตาตรงหน้าของฉันทั้งหมด

เพียงแต่ฉันยังคงเห็น สุดท้ายลู่จือสิงก็ขี้โกงมาก ห้องรับรองผู้โดยสารที่เขาพาฉันไปเดิมทีไม่ใช่ห้องของพวกเรา แต่อยู่เยื้องฝั่งตรงข้าม

ฉันก็ไม่ได้จับตาดู เขาอยู่ด้านนั้นจนประตูเครื่องจะเปิดเรียบร้อยแล้วจึงดึงฉันเข้าไป

อย่างรีบร้อน ฉันก็ถูเขาพามาแบบนี้ตลอดทางจนขึ้นเครื่อง เมื่อนั่งบนเครื่องบิน ฉันก็ยังไม่เข้าใจ ว่าตกลงครั้งนี้พวกเราจะไปไหน

ลู่จือสิงช่วยฉันรัดเข็มขัดนิรภัย มองฉันแล้วยิ้มเล็กน้อย ฉันยกมือตีเขาเล็กน้อย: "เกินไปแล้ว"

เขาก็ไม่สนใจ ถามแอร์โฮสเตสขอผ้าห่มผืนนึง ห่มที่ตัวฉัน: "คุณหญิงลู่ เซอร์ไพรส์เป็นการรอคอยที่คุ้มค่า"

"เชอะ"

ฉันร้องเชอะมาคำนึง หันหน้ามา มุมปากอดไม่ได้ที่จะยกขึ้นมา

ลู่จือสิงพูดได้ไม่เลว เซอร์ไพรส์เป็นการรอคอยที่คุ้มค่า

เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่รู้ การเดินทางทั้งหมดของฉันเต็มไปด้วยความคาดหวังและความอยากรู้อยากเห็น แต่เมื่อฉันถามลู่จือสิง เขาก็ไม่ได้พูดอะไร

เมื่อเครื่องบินขึ้นก็รู้สึกซีเรียสเล็กน้อย ฉันกำมือแน่น ลู่จือสิงยื่นมือมาจับฉัน "กลัวอะไร"

"ไม่ได้กลัว"

ฉันมองเขา "ฉันจะนอนหลับสักหน่อย"

ฉันก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร อยู่บนเครื่องบิน บนรถไฟความเร็วสูง หรือบนรถยนต์ ฉันมักจะอยากหลับตลอด

ครั้งนี้ลู่จือสิงไม่ยอมฉัน: "พักทานอะไรสักหน่อยแล้วค่อยนอน"

ฉันคว้ามือของเขา มองเวลาบนนาฬิกาข้อมือเขา สุดท้ายก็ยกเลิกการนอนหลัง วางแผนที่จะฟังเขา

บางคนบอกว่าอาหารบนเครื่องบินไม่อร่อย ฉันนั่งเครื่องบินมาหลายครั้ง แม้ว่าสายการบินต่าง ๆจะมีมื้ออาหารที่แตกต่างกัน แต่ส่วนใหญ่ไม่ถึงกับไม่อร่อย อาจเป็นเพราะฉันไม่ใช่คนจู้จี้จุกจิก

หลังจากเครื่องบินขึ้นมาครึ่งชั่วโมงแล้ว แอร์โฮสเตสและสจ๊วตก็เริ่มเข็นรถอาหารมาถามพวเราว่าจะทานอะไร ต้องการเครื่องดื่มอะไร

ฉันต้องการน้ำแอปเปิ้ลแก้วนึงและข้าวชุดนึง ดื่มน้ำแอ๊ปเปิ้ลไปสองสามอึก แต่ไม่อยากอาหาร จ้องมองข้าวนั้นอยู่พักนึง ทานไปเพียงสองสามคำ

เอียงไปมองลู่จือสิง เขาทานไปไม่น้อย ดูท่าจะหิว

ฉันมองกล่องข้าวของตนเอง คล้ายกับไม่ได้ขยับ ฉันดันๆไปทางด้านนั้นของดเขา: "หรือว่าคุณจะทาน?"

"ทานต่อไป"

เขาเงยหน้ามองฉัน ท่าทีแข็งกร้าวอย่างมาก

"ทานไม่ลง"

ฉันพยายามต่อรอง: "หรือว่าคุณจะช่วยฉันทานครึ่งนึง? ฉันเห็นว่ามันเยอะ ไม่อยากทานเล็กน้อย"

"ไม่อยากทานก็ต้องทาน อารหารเช้าคุณทานมาไม่เท่าไรเอง"

เขาพูดพลาง หยิบช้อนจากในมือของฉัน ป้อนมาที่ปากของฉันโดยตรง

ลู่จือสิงบังคับ สุดท้ายฉันก็จัดการข้าวกล่องนั้นไปได้ถึงครึ่ง

ทานไปแล้วจุกเล็กน้อย ฉันจึงนอนไม่หลับ อดไม่ได้ที่จะดึงมือของลู่จือสิงเล็กน้อย: "คุณเตรียมงานแต่งตั้งแต่เมื่อไร?"

เงียบเชียบ ฉันไม่ได้สังเกตเห็นได้เลยแม้แต่น้อย

เขาหันมามองฉัน สายตาแฝงไปด้วยรอยยิ้ม: "หลังจากคุณกลับมาจากเมืองJ"

จริงๆแล้วไม่ต้องเตรียมอะไรมากมาย แต่สำหรับงานแต่งงานเมื่อคืนนี้ ทุกอย่างก็เหมือนกับที่ฉันจินตนาการไว้ก่อนหน้านี้

ไม่ต้องการให้ฉันรู้ ลู่จือสิงก็เลยจำเป็นต้องติดตามออกแบบด้วยตนเอง

หลังจากฉันกลับจากเมืองJก็ขอลาป่วยสองสามวัน เวลานั้นลู่จือสิงจึงไม่ให้ฉันไปรายงานตัวเขเงานที่บริษัท ให้ฉันนอนอยู่แต่ในบ้าน

ในช่วงเวลานั้นเขามักจะออกไปข้างนอกหลังอาหารกลางวัน แล้วก็กลับมาก่อนอาหารเย็น ฉันคิดว่าเขาจะไปที่บริษัท ตอนนี้คิดๆแล้ว เขาน่าจะไปหาที่ทางด้านงานแต่ง

ในวันที่เซียงชิงแต่งงานฉันยังคงสับสนกับปัญหานี้ ต่อมาเมื่อฉันเห็นว่าเขาห่วงใยฉันมาก ฉันก็รู้สึกว่าไม่ว่าจะมีงานแต่งงานหรือไม่นั้นไม่สำคัญจริงๆ

ฉันยังไงก็คาดไม่ถึง เดิมทีเมื่อฉันกำลังสับสนวุ่นวาย เขาก็แอบเตรียมพร้อมเรื่องเหล่านี้ไว้แล้ว

ตอนนี้กลับนึกขึ้นมาได้ ถ้าในตอนนั้นฉันทะเลาะกับเขาเพราะปัญหานี้ขึ้นมา บางทีฉันอาจพลาดการเซอร์ไพรส์ที่ยากจะลืมเลือนแบบนี้

นึกถึงเรื่องเหล่านั้น ฉันก็อดไม่ได้ที่จะกระพริบตาที่ร้อนๆเล็กน้อย ไม่ให้น้ำตาไหลลงมา

แอร์โฮสเตสเก็บกล่องข้าวกลับไป ฉันมองลู่จือสิงที่วางมือไว้บนขา อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปจับ มองแหวนบนนิ้วนางของคนสองคน อดไม่ได้ที่จะยิ้ม

ฉันเงยหน้าขึ้น พบว่าลู่จือสิงกำลังมองฉัน เขาก็กำลังยิ้ม แสงอาทิตย์นอกหน้าต่างเครื่องบินส่องเข้ามา รอยยิ้มของเขาก็คล้ายกับแสงสว่าง ฉันก็ตื่นตาเล็กน้อย

เขาไม่พูดจา เพียงแค่จับมือของฉันไว้แน่น

ฉันเอียงไปพิงไหล่ของเขา ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ฉันก็หลับไปแล้ว

เมื่อฉันตื่นขึ้นมาฉันพบว่าลู่จือสิงก็หลับเช่นกัน ฉันดูวลาเล็กน้อย ก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว แสงอาทิตย์จากนอกหน้าต่างส่องเข้ามา ตกที่ใบหน้าของลู่จือสิง ใบหน้าของเขาดูอ่อนโยนอย่างมาก

ในความเป็นจริงตอนที่เขาเผชิญหน้ากับฉัน เขาดูไม่เหมือนประธานลู่ผู้สูงส่งเลยแม้แต่น้อย และบางครั้งเขาก็เหมือนเด็กชายไร้เดียงสาคนนึงด้วยซ้ำ เรื่องราวที่ทำก็ทำให้ฉันพูดไม่ออกเลย

ฉันเอื้อมมือปิดหน้าต่าง แต่จู่ๆลู่จือสิงก็ขยับ ลืมตา มองฉันครู่หนึ่ง จึงเอ่ยปากว่า: "กลางคืนแล้วหรอ?"

ฉันส่ายหัว "ตอนเย็น"

เขาเอียงตัวเข้ามา ยื่นมือไปเปิดหน้าต่างที่ฉันเพิ่งปิดเมื่อกี้นี้

เมฆด้านนอกปกคลุมไปด้วยแสงสีเหลือง ดวงอาทิตย์ที่กำลังตกนี้แตกต่างกับที่มองจากด้านล่าง

ฉันมองแล้วเหม่อลอยเล็กน้อย จู่ๆก็หนักที่บนบ่า ลู่จือสิงเอียวตัวอิงที่พักแขนกอดฉัน นำคางกดลงมาบนบ่าของฉัน

ฉันเอียงหน้าไปมองเขา ยิ้มๆ "สวยมาก"

"อื้ม"

เขาตอบรับคำนึง ลมหายใจกระทบบนใบหน้าของฉัน จั๊กจี้เล็กน้อย

ฉันอดไม่ได้ที่จะยกมือลูบๆ จากนั้นเขาก็จูบฉันอย่างกะทันหัน

ฉันสะบัดมือ "คุณทำอะไรบนเครื่องบินนะ!"

"สวยมาก อดใจไม่ไหว"

ฉันนิ่งอึ้งๆเล็กน้อย ตอบสนองเข้ามา อดที่จะยิ้มไม่ได้: "ฉันหมายถึงแสงอาทิตย์ด้านนอกสวยมาก!"

"ฉันหมายถึงภรรยาของฉันสวยมาก!"

เขาตอนนี้นับวันยิ่งหน้าไม่อาย คำพูดอะไรก็กล้าพูดออกมาจากปาก

ฉันถูกเขาพูดใส่จนร้อนผ่าวที่ใบหน้า ใช้มือตีเขาเล็กน้อย เขายื่นมือออกไปเพื่อกดมือฉัน จับมือฉันประสานนิ้วทีละนิ้ว จับทั้งสิบนิ้วของฉันไว้แน่นวางลงด้านหน้าฉันเข้าใกล้ข้างหูของฉันแล้วเอ่ยปากว่า : "สวยจนฉันแข็งไปหมดแล้ว"

ฉันถูกคำพูดของเขาทำให้อายจนคนร้อนผ่าวไปหมด อดไม่ได้ที่จะหยิกนิ้วของเขา: "คุณเก็บอาการหน่อย ไม่เห็นหรอว่าที่นี่ที่ไหน!"

"ฉันพูดเบาๆ กลัวอะไร"

ฉันจ้องมองเขา "พูดเบาๆก็ไม่ต้องพูด"

"คุณไม่ต้องมายั่วยวนฉัน"

“……”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้