ฉันใจเต้นไปชั่วขณะจริงๆ ถึงอย่างพวกเราก็เดินเข้าไปใช้เวลาหนึ่งชั่วโมง เดินไปกลับ ยังไงก็ใช้เวลาชั่วโมงกว่า
ใครจะรู้ว่าฉันเพิ่งพูดจบ ลู่จือสิงเอียงมองฉัน เลิกคิ้วเล็กน้อย หลังจากนั้นก็โค้งเอวไปทันที: "ขึ้นมา"
ฉันนิ่งอึ้งเล็กน้อย เขายื่นมือมาดึงฉันเล็กน้อย: "ซื่อบื้อหรอ? สามีคุณให้คุณขึ้นมา!"
ชั่วขณะนั้น ฉันรู้สึกเพียงว่าความรู้สึกประเดประดังเข้ามา เดินไปด้านหลังของเขาแล้วก็คว่ำไปบนร่างกายของเขา
ลู่จือสิงโอบขาของฉัน รองไปที่ตัวของฉัน: "กอดให้แน่น ภรรยาฉันมีคนเดียว อย่าให้ตกลงไป"
หลังของเขาแข็งแรงมาก ฉันปีนขึ้นไป รู้สึกเพียงว่าด้านหน้าของตนเองคือกำแพงกั้นที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ไม่ว่าจะมีพายุอะไรเกิดขึ้นข้างหน้า ก็ไม่สามารถข้ามผ่านเข้ามาได้ เพราะสามีของฉันขวางให้ฉันอยู่
ลู่จือสิงเดินไปไม่เร็ว ไม่ไกลมีคนกำลังโชว์การแสดงอะไรอยู่ คล้ายกับมีคนกำลังร้องเพลง มีคนอยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่ฉันรู้สึกว่าตอนนี้โลกของฉันเหลือเพียงลู่จือสิงเพียงคนเดียว
เขาแบกฉัน ฉันกำลังอยู่บนร่างของเขา
ลมทะเลตอนกลางคืนเย็นเล็กน้อย ฉันอดไม่ได้ที่จะเอาหน้าไปชิดเขา ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จู่ๆก็อยากจะพูดคุยเรื่องอดีตของฉันกับเขา: "ลู่จือสิง คุณรู้เรื่องอดีตของฉันไหม?"
เขาหันหน้ามามองฉัน: "ไม่รู้ชัดเจนมากหรอก"
เดิมทีฉันคิดว่าเขาคงกลับไปตรวจสอบที่ไปที่มาของฉัน แต่คาดไม่ถึงว่าเขากำลังรอให้ฉันพูด
ก้นบึ้งของหัวใจก็รู้สึกซาบซึ้งฉับพลัน ตอนนี้ฉันและเขาเป็นคู่สามีภรรยาที่แท้จริงแล้ว พวกเราก็มีลูกชายอายุสองขวบคนนึงแล้ว
ไม่ว่าอนาคตจะเป็นยังไง อย่างน้อยที่สุดตอนนี้ เขาคือคนที่ฉันรักมากที่สุด
จากนั้นสิ่งที่ยากที่จะพูดก่อนหน้านี้ ก็กลายเป็นความเจ็บปวดน้อยลง
ฉันเม้มๆปาก เล่าอดีตของฉันให้เขาฟัง: "ฉันเป็นลูกบุญธรรมของตระกูลซู แต่พ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงไม่ชอบฉันมากนัก คุณยายของฉันดูแลฉันมาโดยตลอด ตอนเด็กๆฉันอิจฉาเด็กคนอื่นมาก เวลาฝนตกก็จะมีพ่อแบกพวกเขาขึ้นหลังกลับบ้าน มีเพียงฉัน มีแค่ยายที่มารับฉันตลอด
พูดพลาง ฉันก็หยุดไปชั่วขณะ "เวลานั้นฉันไม่เข้าใจทำไมฉันก็เป็นคนที่มีพ่อแม่ แต่พ่อแม่ของฉันแต่ไหนแต่ไรก็ไม่มารับฉันเลย จนกระทั่งภายหลัง พ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงของฉันก็มีลูกของพวกเขา ฉันจึงเข้าใจ ลูกเลี้ยงและลูกของตนเองไม่เหมือนกัน"
"เมื่อก่อนฉันคิดว่า ฉันดีกว่าเพื่อนๆหลายๆคนมาก ถึงอย่างไรพ่อแม่ของพวกเขาก็ทำงานต่างประเทศ แต่พ่อแม่ของฉันใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกับฉัน เพียงแต่พวกเขาไม่ได้รักฉันก็เท่านั้น"
"เมื่อฉันอยู่มัธยมต้นจึงได้รู้ว่าตนเองเป็นลูกบุญธรรม เพราะเวลานั้นน้องชายของฉันมักจะพูดเสมอว่าฉันเป็นข้าวนอกนาที่ใครๆก็ไม่ต้องการ ฉันจึงไปถามพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงของฉัน สถาวะเศรษฐกิจของพวกเขาไม่ดีอย่างมาก เมื่อให้กำเนิดน้องชายฉันอายุก็มากแล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องการแบกรับภาระฉันต่อไปอีก แต่เพราะคุณยายยืนกราน พวกเขาเลยจนปัญญา ทำได้เพียงเลี้ยงดูฉัน"
"ฉะนั้นเมื่อฉันไปถามพวกเขา พวกเขาก็ไม่ปิดบัง"
พูดถึงตรงนี้ ฉันก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างเย็นชาเล็กน้อย: "คาดว่าเวลานั้นพวกเขาจริงๆแล้วอยากให้ฉันรู้จักวางตัวสักเล็กน้อย แล้วก็ออกไปเอง แต่ฉันก็ไม่ได้เจียมตัวมาก เพราะคุณยายดีกับฉันมากจริงๆ"
ถ้าไม่ใช่เพราะคุณยาย บางทีฉันก็อาจจะไม่ได้พบลู่จือสิง แต่บนโลกนี้ เรื่องหลายๆเรื่องก็ถูกลิขิตไว้บนทางอันมืดมนแบบนี้
ฉันไม่ได้เลือกที่จะจากไปเพราะความรังเกียจของพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยง และฉันก็ไม่เลือกที่จะทิ้งมันไปเมื่อคุณยายของฉันป่วยหนัก ดังนั้นฉันจึงได้พบกับลู่จือสิง
"ถ้าไม่ใช่คุณยาย ฉันก็จะไม่สามารถได้พบคุณ"
เขาเงียบมาโดยตลอด จนกระทั่ง ตอนนี้ ในที่สุดก็เอ่ยปาก: "อืม ฉันจะไม่ทำให้คุณยายผิดหวังแน่นอน"
ชีวิตสองสามปีมานี้ยุ่งมาก โดยเฉพาะหลังจากมีเป้ยเปย ฉันไม่เคยนึกถึงคุณยายมานานมากแล้ว
ฟังคำพูดของลู่จือสิงแล้ว ในใจฉันก็ซาบซึ้งมาฉับพลัน: "ลู่จือสิง หลังจากพวกเรากลับประเทศแล้ว คุณไปเป็นเพื่อนฉันเยี่ยมคุณยายหน่อยนะ"
"โอเค"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้