หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3] นิยาย บท 101

บทที่ 101 คืนก่อนวันแต่งงาน
Ink Stone_Romance
แม่นางเมิ่งเป็นคนหนานเจียง นางติดตามพี่ชายที่เข้ามาสอบในเมืองหลวง พี่ชายของนางสอบผ่านจวี่เหริน[1] ทว่าไม่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ในการสอบต่อหน้าพระที่นั่ง หลังจากนั้นเขาก็หมดกำลังใจที่จะร่ำเรียนหนังสือต่อ แม่นางเมิ่งเริ่มต้นธุรกิจเย็บปักถักร้อยด้วยเครื่องเงินของแม่ ในตอนแรกมีเพียงแผงลอยเล็กๆ ที่ดูเรียบง่าย มีลูกค้าหน้าเก่าเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ กระทั่งธุรกิจของนางยุ่งเกินกว่านางคนเดียวจะทำได้ จึงรับลูกมือเข้ามา และได้ก่อตั้งร้านค้าแห่งแรก ในช่วงสองสามปีมานี้ ธุรกิจของอวิ๋นสุ่ยเจียนเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าขนาดโดยรวมจะไม่ได้ใหญ่เทียบเท่ากับผู้นำในแวดวง แต่อิทธิพลของแม่นางเมิ่งก็เหนือกว่าผู้หญิงปักผ้าทั่วไป

“นั่ง” แม่นางเมิ่งชี้ไปที่เก้าอี้ข้างๆ นาง

อวี๋หวั่นและไป๋ถังนั่งลง

ทั้งสองเริ่มมองสำรวจห้องของแม่นางเมิ่ง ห้องสื่อตัวตนของคนอาศัย ทุกที่เต็มไปด้วยความงามอันอ่อนโยนของผ้าเจียงหนาน แท้จริงรูปลักษณ์ของแม่นางเมิ่งไม่นับว่าโดดเด่นนัก การใช้เครื่องประทินโฉมเพียงแค่ทำให้ดูน่ามอง ทว่าเสื้อผ้าที่เลิศล้ำของนาง ส่งเสริมให้ลักษณะของนางดูดีขึ้นมาก ดังนั้นไม่ว่าผู้ใดได้เห็น ก็ทำให้เกิดความรู้สึกสดใส

ไป๋ถังเปิดร้านอาหาร นางสนใจเกี่ยวกับร้านอาหารค่อนข้างมาก ที่ใดมีพ่อครัวฝีมือเก่งกาจนางรู้ดี ทว่าชื่อเสียงของแม่นางเมิ่ง หากกล่าวตามตรง นางไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ก็ไม่ได้มีผลต่อความรู้สึกชื่นชมที่มีต่อแม่นางเมิ่ง ตั้งแต่แม่นางเมิ่งตัดกระโปรงชุดนั้นออกเป็นสองส่วน ก็คู่ควรกับคำว่ายอดหญิงวีรสตรีเอกแห่งแผ่นดินแล้ว

แม่นางเมิ่งวัดขนาดตัวอวี๋หวั่นด้วยตนเอง

บรรดาลูกมือที่แอบดูอยู่ด้านนอกต่างตกตะลึง แม่นางเมิ่งสอนงานพวกนางมา จึงมีน้อยครั้งที่นางจะตัดเย็บเสื้อผ้าให้แขกด้วยตนเอง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการวัดขนาดตัว งานประเภทนี้นางมักจะมอบหมายให้พวกนางทำแทนเสมอ

“นั่นใครมารึ? ไยจึงให้แม่นางเมิ่งลงมือทำเอง?” หญิงปักผ้าใบหน้ากลมถาม

หญิงปักผ้าใบหน้ารูปไข่ที่อยู่ด้านข้างตอบ “มิรู้สิ เมื่อครู่นางเพิ่งทะเลาะกับคุณหนูเซียวที่โถงใหญ่ เกือบจะทำให้คุณหนูเซียวไม่พอใจ แต่แม่นางเมิ่งก็มาช่วยไกล่เกลี่ยแทนนาง”

“คุณหนูเซียวอ้วนอย่างกับหมู ก็ยังชอบใส่เสื้อผ้าตัวเล็กๆ น่าเกลียดจะตาย!” หญิงปักผ้าอีกคนเอ่ยพึมพำ

ทั้งสองหันกลับไปถลึงตาใส่นาง แม้พวกนางจะรู้สึกว่าคุณหนูเซียวอ้วนมากและหาเสื้อผ้าไม่ได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นแขกของร้าน จะนินทาลับหลังเช่นนี้ได้อย่างไร? หากได้ยินเข้าย่อมทำให้ผู้คนขุ่นเคือง ชื่อเสียงอวิ๋นสุ่ยเจียนของพวกนางก็จะป่นปี้ไปด้วย

หญิงปักผ้ารู้ตัวว่ากล่าววาจาไม่สมควร จึงก้มหัวเงียบปากด้วยความคับแค้น

ในห้อง แม่นางเมิ่งวัดขนาดตัวเสร็จแล้ว จึงถามอวี๋หวั่นว่าต้องการเสื้อผ้าสำหรับโอกาสใด

อวี๋หวั่นไม่ได้อธิบายอย่างละเอียด เธอจะเป็นภรรยาของคุณชายครั้งแรก ไม่รู้ว่าต้องพบกับโอกาสใดบ้างหลังจากแต่งงาน จึงตอบไปเพียงว่า “ชุดหลังแต่งงาน เสื้อผ้าที่ใส่ไปข้างนอกหรืออยู่บ้านไม่กี่ชุดก็พอ”

“แม่นางกำลังจะแต่งงานหรือ?” แม่นางเมิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้มประหลาดใจ

“อื้ม” อวี๋หวั่นคลี่ยิ้มพร้อมกับพยักหน้า สีหน้าใจกว้างเปิดเผย ปราศจากความตื่นตระหนกและเขินอายที่หญิงสาวทั่วไปจะมีก่อนวันแต่งงาน ในมุมมองของอวี๋หวั่น งานแต่งงานนี้เป็นเพียงการล้างพิษให้ใครบางคนด้วยวิธีที่ถูกต้องตามธรรมเนียมปฏิบัติ จะเป็นสถานะใดเธอไม่ได้สนใจ

“แม่นางมิได้เต็มใจแต่งงานครั้งนี้หรือ?” แม่นางเมิ่งมองไปที่อวี๋หวั่น

“เต็มใจ” อวี๋หวั่นตอบ ไม่ว่ามองอย่างไรเยี่ยนจิ่วเฉาก็เป็นคู่ครองที่เหมาะสมจะแต่งงานด้วย ยิ่งไปกว่านั้นสถานะเช่นเธอ ได้แต่งงานเป็นฮูหยินที่ถูกต้องตามกฎหมายของเขา เธอจะไม่ชอบได้อย่างไร?

แม่นางเมิ่งยิ้ม “ข้าก็คิดว่าแม่นางมีเรื่องในใจที่เอ่ยยาก”

อวี๋หวั่นถาม “ข้าแสดงออกชัดเจนมากเลยหรือ?”

แม่นางเมิ่งยิ้มและส่ายหน้า “แท้จริงแล้ว ข้ามองออกว่าแม่นางมีความสุขกับคุณชายผู้นั้น เพียงแต่แม่นางดูไม่เหมือนคนที่เกลียดการแต่งงาน”

แน่นอนว่าเธอไม่ได้เกลียดการแต่งงาน แต่มันไม่มีทางเลือกหรือไม่? ทว่าสิ่งเหล่านี้ไม่อาจบอกคนภายนอกได้

เมื่ออวี๋หวั่นและไป๋ถังลงมาชั้นล่าง หญิงสาวที่ทะเลาะกับอวี๋หวั่นก็จากไปแล้ว กล่าวกันว่านางไม่ได้ซื้อชุดกระโปรงที่นางสวมใส่ และเดินจากไปด้วยความโมโห

ไป๋ถังจูงอวี๋หวั่นเข้าไปในตรอกด้านข้าง พลางมองไปรอบๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใคร จึงเอ่ยด้วยเสียงเบา “อาหวั่น เร็วๆ นี้ข้าได้ยินข่าวมา”

การแต่งงานของเยี่ยนจิ่วเฉาทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ในเมืองหลวงและมีข่าวลือทุกประเภทเหมือนเกล็ดหิมะอวี๋หวั่นอยู่ในชนบทไม่รับรู้อันใด แต่ไป๋ถังได้ยินมาหนาหู

“ข่าวอันใด ท่านว่ามา” อวี๋หวั่นถาม

ไป๋ถังลังเล

“เกี่ยวกับข้าและเยี่ยนจิ่วเฉาหรือ?” อวี๋หวั่นเดาได้ไม่ยาก เมื่อเห็นท่าทีของไป๋ถังก็พอจะรู้

“ข้า…” ไป๋ถังมีท่าทีไม่อยากเอ่ยเล็กน้อย ทว่าเพื่อชีวิตแต่งงานของอวี๋หวั่น นางจึงตัดสินใจ ไม่ว่าเป็นตายอย่างไรก็ต้องบอก “ข้าได้ยินมาว่าเขาถูกสาปแช่งให้อายุสั้น!”

อวี๋หวั่นหัวเราะเบาๆ

ไป๋ถังกังวล “เจ้ายังหัวเราะอีก! เจ้าหัวเราะออกได้อย่างไร? เจ้า… เจ้า… เจ้าไม่กลัวว่าหลังจากแต่งงานไปจะ…”

นางไม่อาจเอ่ยคำว่าเป็นหม้ายได้

คำเอ่ยเหล่านี้ก่อนงานแต่งงานอาจทำให้เสียบรรยากาศได้ แต่อวี๋หวั่นไม่โกรธ และบีบมือเล็กๆ ของนางอย่างปลอบโยน “มันเป็นแค่ข่าวลือเท่านั้น ท่านอย่าได้คิดจริงจังเลย”

และแม้ว่าเขาจะถูกสาปแช่งให้อายุสั้นจริงๆ ก็ตาม แต่ตราบใดที่เธอยังอยู่ เธอจะรักษาเขาให้ได้อย่างแน่นอน

สิ่งที่เธอสนใจมากกว่านั้นคือ ใครเป็นคนปล่อยข่าวลือเช่นนี้ออกมา? มีไม่กี่คนที่รู้อาการป่วยของเยี่ยนจิ่วเฉา และมันก็ไม่ได้แพร่สะพัดออกมา แต่กลับมาลือกันในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ คล้ายว่ามีเจตนาบางอย่างแอบแฝง

หรือโกรธเยี่ยนจิ่วเฉา และไม่ต้องการให้เขาจัดงานแต่งงาน?

ความคิดนั้นแย่เกินไป ในโลกนี้มีเพียงเยี่ยนจิ่วเฉาเท่านั้นที่โกรธคนอื่น และไม่มีใครสามารถโกรธเขาได้

ไป๋ถังยังทราบข่าวมา คนของจวนคุณชายย่อมต้องทราบข่าวแล้วเช่นกัน อิ่งสือซันเข้าห้องหนังสือด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ

เยี่ยนจิ่วเฉายังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้โบราณ และเล่นข่งหมิงสั่วด้วยท่าทีสบายๆ “ใครเป็นคนปล่อยข่าว?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]