คนในตระกูลต่างบอกว่าบิดาของเขาเป็นคนดี
แต่คนดีคนนี้กลับทิ้งให้เขาและมารดาต้องมีชีวิตยากลำบาก
มารดาของเขาเป็นคนดีเช่นกัน นางมักจะช่วยเหลือคนที่ลำบากกว่า ทว่าเมื่อนางละเมิดกฎของครอบครัวโดยไม่ตั้งใจ ผู้คนที่นางเคยช่วยเหลือ กลับไม่มีใครสักคนออกหน้าแทนนาง
หลังจากที่เขาเติบโตขึ้น ก็แอบหลงรักสตรีผู้หนึ่งในเผ่า นางบอกกับเขาว่า ‘อาเว่ย เจ้าเป็นคนดี แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่อาจแต่งงานกับเจ้าได้’
ดังนั้น การเป็นคนดีจะมีประโยชน์อะไร?
ทั้งหมดคือการทำให้ตัวเองเดือดร้อนเพื่อประโยชน์ของคนอื่น คนโง่เท่านั้นที่จะเป็นคนดี
เขาฆ่าคนครั้งแรกตอนอายุยี่สิบ!
เขาจะเป็นวายร้ายที่สุดในเผ่า ไม่… วายร้ายที่ร้ายกาจที่สุดในใต้หล้า!
“อาเว่ยหลังคาของข้ารั่ว เจ้ามาช่วยข้าซ่อมได้ไหม?” ป้าจางจากบ้านข้างๆ เอ่ยด้วยเสียงเบา
อาเว่ยกระโดดลงจากเตียงภายในหนึ่งวินาที “มาแล้ว!”
…………..
คืนมืดลมแรง สายลับจากจวนคุณชายในเมืองหลวงเกือบทั้งหมดออกไปค้นหาร่องรอยของอวี๋หวั่น เยี่ยนจิ่วเฉานั่งรถม้าไปยังภูเขาในเขตชานเมืองทางตะวันออก ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายที่อิ่งสือซันพบเห็นตำแหน่งของเยี่ยนไหวจิ่ง
อิ่งสือซันจอดรถม้าบนทางเล็กๆ ที่มีต้นหญ้าขึ้นชุกชุม อิ่งสือซันแยกกับอิ่งลิ่วไปสำรวจเส้นทาง ฟ้าใกล้สางแล้ว ตามความเข้าใจของพวกเขา เยี่ยนไหวจิ่งน่าจะพาอวี๋หวั่นออกจากเมืองหลวงหลังจากประตูเปิด หากเป็นเช่นนั้นคงเป็นเรื่องยากที่จะตามหา พวกเขาต้องชิงตัวอวี๋หวั่นกลับมาจากเยี่ยนไหวจิ่งก่อนรุ่งสางให้ได้ แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งสองต้องผิดหวังคือ หลังจากออกตามหาไปรอบๆ ก็ยังไม่พบร่องรอยของการมาเยือนของเยี่ยนไหวจิ่ง
ทั้งสองเปลี่ยนสถานที่ค้นหา เมื่อทั้งสองกลับมาถึงรถม้า จึงตัดสินใจรายงานแผนการกับเยี่ยนจิ่วเฉา ทว่าเมื่ออิ่งสือซันยกม่านขึ้น พวกเขากลับเห็นคุณชายของพวกเขา…และฮูหยินที่นอนอยู่ในอ้อมแขนของคุณชายเสียแล้ว
อิ่งสือซันตกตะลึงตาค้าง “เอ่อ…เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ?”
เยี่ยนจิ่วเฉา “ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน”
เขาเพียงแค่นั่งรอฟังข่าวอยู่บนรถม้า และทันใดนั้น เงาร่างหนึ่งก็เหาะลงมาจากท้องฟ้า พร้อมกับแรงเหวี่ยงไร้เทียมทาน สตรีผู้หนึ่งถูกโยนเข้ามาในอ้อมแขนของเขาอย่างไม่อาจปฏิเสธ กระทั่งอีกฝ่ายหน้าตาเป็นอย่างไร เขายังเห็นไม่ชัด อีกฝ่ายก็หายไปในความมืดโดยไม่ย้อนกลับมาแล้ว
ดูจากเงาหลังเลือนราง มาตรได้ว่าเขาเป็นผู้ชาย
อย่างไรก็ตาม เมื่อพบอวี๋หวั่นที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ ทั้งหมดก็เดินทางกลับเมืองหลวง และมาถึงจวนคุณชายในเวลาค่อนคืน จุดหลับใหลของอวี๋หวั่นได้ถูกคลายแล้ว แต่เธอยังคงหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน
บนเตียงสีแดงขนาดใหญ่ในห้องหอ เด็กน้อยทั้งสามร้องหาอวี๋หวั่น พวกเขาร้องไห้เกือบทั้งคืนก่อนจะหลับไป ใบหน้าน้อยๆ ของพวกเขายังมีร่องรอยของคราบน้ำตา ลุงวั่นนั่งสัปหงกอยู่ข้างๆ ด้วยความเหนื่อยล้า
อิ่งสือซันตบไหล่ลุงวั่น
ลุงวั่นลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความแปลกใจ “คุณชาย?”
เยี่ยนจิ่วเฉาใช้สายตาบอกให้เขากลับห้องไปพักผ่อน ลุงวั่นมองไปที่เขา และอวี๋หวั่นที่อยู่ในอ้อมแขน ลุงวั่นระงับความต้องการที่จะถามรายละเอียดและย่องออกไปเบาๆ
อิ่งสือซันก็หันหลังกลับและออกจากห้องไป พร้อมกับปิดประตูให้คนทั้งสองอย่างรู้ความ
เยี่ยนจิ่วเฉาวางอวี๋หวั่นลงกับเตียง ทันทีที่สัมผัสเตียงอวี๋หวั่นก็ตื่นขึ้น เธอลืมตาขึ้นมองเยี่ยนจิ่วเฉาครู่หนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าตนเองไม่ได้ฝันไป ก็เอ่ยออกมาด้วยความประหลาดใจ “ข้ากลับมาแล้วหรือ?”
เธอบอกว่ากลับมา
นาทีนั้น เยี่ยนจิ่วเฉาก็รู้สึกว่าจวนคุณชายแห่งนี้คือบ้าน
“อื้ม เจ้ากลับมาแล้ว” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยเสียงเบา
อวี๋หวั่นยื่นมือออกไปลูบหัวน้อยๆ ที่มีผมยาวทั้งสาม และยิ้มอย่างมีความสุข พลางโน้มกายไปจูบหน้าผากเด็กชายตัวเล็กๆ ทีละคน
ดีจังเลยที่ได้กลับมา!
เมื่อได้เห็นรอยยิ้มอันสดใสของเธอ ดวงตาเยือกเย็นของเยี่ยนจิ่วเฉาก็ฉายแววอ่อนโยนที่หาได้ยากออกมา
เมื่อนึกบางอย่างขึ้นได้ อวี๋หวั่นจึงมองไปรอบๆ แล้วเอ่ยถามว่า “อาเว่ยละ? อาเว่ยช่วยข้าไว้!”
เยี่ยนจิ่วเฉาเคยได้ยินชื่อของคนผู้นี้ ตอนที่สวี่ส้าวส่งหน่วยกล้าตายไปลอบสังหารอวี๋หวั่นที่หมู่บ้านเหลียนฮวา ชายหนุ่มผู้นี้ที่เพิ่งย้ายเข้ามาในหมู่บ้านเหลียนฮวา และอาศัยอยู่ที่บ้านเก่าสกุลจ้าวออกมาสังหารหน่วยกล้ายตายได้ทันเวลา ครั้งนั้นเป็นการพบเข้าโดยบังเอิญ แต่ไม่รู้ว่าครั้งนี้เขาพบอวี๋หวั่นได้อย่างไร
อวี๋หวั่นถูกอาเว่ยกดจุดหลับใหล แต่เธอไม่รู้ คิดว่าตัวเองตื่นเต้นเกินไปจนเป็นลม เยี่ยนจิ่วเฉากลับคิดว่าเยี่ยนไหวจิ่งเป็นคนทำ แต่ไม่ได้ถามรายละเอียด เพราะเกรงว่าอวี๋หวั่นจะเข้าใจผิดว่า เขาสงสัยในความบริสุทธิ์ของเธอ
ทว่าอวี๋หวั่นกลับเริ่มเอ่ยเรื่องความบริสุทธิ์เสียเอง “ท่านมีอะไรอยากถามหรือไม่? อย่างเช่น ใครจับข้าไป? แล้วได้ทำอะไรกับข้าไปหรือยัง?”
เยี่ยนจิ่วเฉาลูบจอนผมของเธอ “มิต้องหรอก แค่เจ้ากลับมาก็พอแล้ว”
ในวันธรรมดาผู้ชายคนนี้มักชอบกวนประสาท ทว่าในช่วงเวลาสำคัญเขากลับสามารถทำให้หัวใจรู้สึกอบอุ่นได้ ต่อให้คำหวานทุกคำมารวมกัน ก็ไม่สู้หนึ่งวลีนี้ ‘แค่เจ้ากลับมาก็พอแล้ว’
อวี๋หวั่นยิ้มมุมปาก มองเขาด้วยสายตาลึกซึ้ง “เยี่ยนจิ่วเฉา”
“หืม?”
“พวกเรา…นับว่าแต่งงานกันหรือยังเจ้าคะ? ยังไม่ได้กราบไหว้ฟ้าดิน แล้วก็ยังไม่ได้ดื่มเหล้ามงคลเลย”
“อยากกราบไหว้ฟ้าดินหรือ?”
อวี๋หวั่นหลุบตาลง พยักหน้าเบาๆ
รอเวลานี้มาสองภพชาติ ไม่รู้เลยว่าความรู้สึกเป็นอย่างไร ทุกอย่างก็จบลงเสียแล้ว ผู้คนต่างบอกว่าชีวิตต้องการความรู้สึกที่มีพิธีรีตอง สองพิธีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต คือการแต่งงานและการคลอดลูก…เธอพลาดมันไปทั้งหมด
น่าเศร้าใจนิดหน่อย
เยี่ยนจิ่วเฉาจับมือของเธอ “ตามข้ามา”
สายตาอวี๋หวั่นตกกระทบลงบนขาของเขา “ท่าน…เดินได้หรือ?”
แม้เลือดของเธอจะสามารถใช้พิษสู้กับพิษได้ แต่เป็นเพียงการระงับพิษที่ขาส่วนล่างชั่วคราวเท่านั้น ในยามที่เขาขยับร่างกายก็ยังไม่สะดวกนัก
เยี่ยนจิ่วเฉาดึงรถเข็นเข้ามาและใช้มือพยุงตัวขึ้นนั่ง
อวี๋หวั่นเดินตามไปด้านหลังและช่วยเข็นให้
แสงจันทร์สาดส่องเป็นประกายเยือกเย็นไปทั่วพื้นห้อง เมื่อผ่านโต๊ะ เยี่ยนจิ่วเฉาก็หยิบผ้าคลุมหน้าที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา อวี๋หวั่นเข้าใจความหมาย จึงโค้งกายลงให้เขาสวมมันกับมือ จากนั้นอวี๋หวั่นก็หยิบดอกไม้ผ้าสีแดงบนโต๊ะ มาผูกรอบหน้าอกของเขา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]