แอ๊ด…
ประตูวังที่ชำรุดทรุดโทรมมานานถูกขันทีดันเปิดออก เกิดเสียงดังสนั่นจนหลีเอ๋อร์ที่อยู่ข้างหลังอวี๋หวั่นตกใจ ยกมือขึ้นป้องปิดหู
อวี๋หวั่นเหลือบมองนางเบาๆ
เมื่อรู้ตัวว่าทำสิ่งที่ไม่ควร หลีเอ๋อร์ก็รีบลดมือลงและก้มหน้าก้มตาเดินต่อ
อวี๋หวั่นไม่เคยไปตำหนักเย็น แต่หากเทียบกับตำหนักเสียนฝูแล้ว ตำหนักเฟิ่งชีก็แทบไม่ต่างจากตำหนักเย็นมากนัก
ขันทีเฒ่าผมหงอกขาวเดินมาด้านหน้าและคำนับอวี๋หวั่น “กระหม่อมมาเชิญฮูหยินเยี่ยน”
“มิต้องมากพิธีหรอก” อวี๋หวั่นยกมือเปล่าขึ้น พลางส่งสายตาให้หลีเอ๋อร์ หลีเอ๋อร์หยิบถุงเล็กๆ จากแขนเสื้อยัดใส่มือของขันทีเฒ่า
“รบกวนพาข้าไปพบฮองเฮาด้วย” อวี๋หวั่นกล่าว
ขันทีเฒ่ารับเงินไว้ และเดินหลังง่อนแง่น นำอวี๋หวั่นไปที่ห้องโถงใหญ่ของตำหนักเฟิ่งชี
ในห้องโถงใหญ่ที่ว่างเปล่า อวี๋หวั่นมองเห็นฮองเฮานั่งตัวตรงอยู่บนบัลลังก์หงส์
ฮองเฮาสวมชุดนำโชคสีเหลืองสดใสตัวใหญ่ พร้อมกับมวยผมหนาที่สวมประดับด้วยมงกุฎหงส์ ปิ่นปักผมหงส์เก้าหาง และแต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉมอย่างละเอียดอ่อน นางอายุมากกว่าสวี่เสียนเฟยไม่กี่ปี แต่ดูราวกับคนละวัยกัน ในด้านหนึ่งนางรักษากลิ่นอายความเป็นฮองเฮาแห่งวังหลังไว้ได้ ทว่าอีกด้านหนึ่ง…นางก็ดูแก่มากแล้วจริงๆ ไม่ว่าจะใช้เครื่องประทินโฉมหนาเพียงใดก็ไม่อาจซ่อนริ้วรอยที่หางตาของนางได้
แต่นางยังคงพยายามยืดหลังที่งุ้มงอลงไปตามอายุให้เยียดตรง ราวกับกำลังรักษาความสง่าผ่าเผยสุดท้ายของฮองเฮาเอาไว้
แน่นอนว่า อวี๋หวั่นไม่กล้ามองฮองเฮาตลอดเวลา ก่อนเข้าวัง ลุงวั่นสอนให้เธอคำนับ เมื่อนางเดินมาถึงบันไดขั้นล่าง อวี๋หวั่นก็ยอบกายลงคำนับโดยไม่ช้อนสายตามอง
“เงยหน้าขึ้น” ฮองเฮาเอ่ย
อวี๋หวั่นเงยหน้าขึ้นตามคำสั่ง
“มองข้า” ฮองเฮาเอ่ยอีกครั้ง
หลี่เอ๋อร์ที่คุกเข่าลงพร้อมกับเธอหวาดกลัวจนตกตะลึง ถึงนางจะนิ่งกว่าน้องเถาเอ๋อร์ ทว่าเมื่อนางได้พบกับมารดาของแผ่นดินจริงๆ มิล้มลงกับพื้นตอนนี้ก็นับว่าจิตใจแข็งแกร่งมากแล้ว
อวี๋หวั่นสบตากับฮองเฮาอย่างสุขุมเยือกเย็น
ดวงตาของฮองเฮามีแววของความดุร้ายที่มาพร้อมอำนาจเหนือกว่า นางคลี่ยิ้มอย่างแผ่วเบา “ช่างเป็นดรุณีที่งดงามเสียจริง มิน่าถึงได้เข้าตาเด็กคนนั้นได้ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเป็นสตรีในชนบท บิดาของเจ้าแย่งความดีความชอบทางทหารของเหยียนโหวไปใช่หรือไม่?”
อย่างไรฮองเฮาก็เป็นฮองเฮา แม้ว่านางจะไม่เป็นที่โปรดปราน แต่นางก็ทราบข่าวของเมืองหลวงดี
อวี๋หวั่นกล่าวอย่างไม่ถ่อมตัวหรือหยิ่งยโส “กราบทูลฮองเฮา หม่อมฉันมาจากหมู่บ้านเหลียนฮวา ท่านพ่อของหม่อมฉันคืออวี๋เซ่าชิง หัวหน้ากองพันทัพใหญ่ซีเป่ยเพคะ”
ไม่ยอมรับว่าแย่งความดีความชอบทางทหาร และก็มิได้ขัดแย้งกับฮองเฮา
ฮองเฮายิ้มอีกครั้ง “ข้าได้ยินมาว่าสวี่เสียนเฟยเคยเรียกเจ้าเข้าวัง และอารมณ์เสียกับเจ้ารึ?”
นี่ไม่ใช่ข่าวที่จะ ‘ได้ยิน’ มาผ่านๆ ได้ ดูเหมือนผ่านมาหลายปี ฮองเฮาก็ยังมิยอมรับชะตากรรมของนาง และยังคงรักษาวิถีฮองเฮาเอาไว้
อวี๋หวั่นเอ่ยหนักให้เป็นเบา “พระสนมสวี่เสียนเฟยทรงต้องการลิ้มรสอาหารฝีมือของหม่อมฉันเพคะ”
สายตาของฮองเฮาตกกระทบบนใบหน้าของเธอ ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็คลี่ยิ้มอ่อนโยนออกมา “มาคุยกันเถิด เชิญนั่ง”
อวี๋หวั่นค้อมกาย “ขอบพระทัยฮองเฮาเพคะ”
หลีเอ๋อร์พยุงอวี๋หวั่นขึ้น และเดินไปที่เก้าอี้ด้านข้าง อวี๋หวั่นนั่งลง ส่วนหลีเอ๋อร์ก็ยืนอยู่ด้านหลังตามกฎระเบียบ
นางข้าหลวงนำชาร้อนมาถวาย
อวี๋หวั่นรอให้ฮองเฮาจิบก่อนหนึ่งคำ จึงยกถ้วยน้ำชาขึ้น
ฮองเฮายิ้มพลางกล่าวว่า “ตำหนักเฟิ่งชีมิอาจดื่มชาใหม่ของปีได้ ทำให้ฮูหยินเยี่ยนลำบากใจเสียแล้ว”
อวี๋หวั่นกล่าวว่า “ฮองเฮากล่าวหนักไปแล้ว หม่อมฉันเติบโตมาในชนบท น้ำชาที่ดื่มล้วนต้มจากรากต้นเจ๋อเอ่อร์ มีกลิ่นเหม็นคาว บางคนจึงเรียกมันว่าผักคาวทอง ชาของตำหนักเฟิ่งชีดื่มง่ายกว่าผักคาวทองมากนักเพคะ”
มีชาววังขำคิกคักเบาๆ ฮูหยินของคุณชายผู้นี้ไม่เคยเห็นโลกมาก่อนหรืออย่างไร และ เอาหญ้าป่าจากบ้านนอกมาเปรียบเทียบใบชาในตำหนักเฟิ่งชี? แม้ชาในตำหนักเฟิ่งชีจะไม่ดีเท่าในตำหนักเสียนฝู แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่สามัญชนจะดื่มได้
ทว่าถูกอวี๋หวั่นทำให้ขบขันโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ฮองเฮาก็ไม่มีคำเอ่ยทิ่มแทงอีกต่อไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]