เวลาไม่เคยรอใคร เยี่ยนไหวจิ่งรีบนำยาเดินทางออกจากจวน ทว่าทันทีที่ก้าวขาออกจากเรือน ก็พบกับหานจิ้งซู
เขากับหานจิ้งซูแต่งงานกันเมื่อหลายเดือนก่อน บัดนี้นางจึงกลายเป็นพระชายาของจิ้งอ๋อง
หานจิ้งซูสวมอาภรณ์สีน้ำเงินสว่าง ทั้งเครื่องประดับและท่วงท่าล้วนแต่ดูสง่างาม ไม่รู้ว่านางกำลังจะเดินออกไปหรือเพิ่งกลับมา
เยี่ยนไหวจิ่งตั้งสติ แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “ดึกเช่นนี้ พระชายายังไม่นอนอีกหรือ?”
หานจิ้งซูยิ้ม “ข้าบอกท่านอ๋องไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ ว่าให้เรียกข้าว่าซูเอ๋อร์”
“ซูเอ๋อร์” เยี่ยนไหวจิ่งเรียกอย่างขอไปที เขารีบร้อนเข้าวัง ไม่มีเวลามาสนทนากับหานจิ้งซูนานเกินไป
หานจิ้งซูเห็นสีหน้าของเยี่ยนไหวจิ่งแฝงไปด้วยความหมางเมินและร้อนรน จึงถามว่า “ท่านอ๋องจะออกจากจวนหรือ?”
เยี่ยนไหวจิ่งชะงักไป แล้วตอบไปตามตรงว่า “อ่า ข้าจะเข้าวัง จะนำยาไปให้เสด็จพ่อ”
“บังเอิญเหลือเกิน” หานจิ้งซูพึมพำ
“มีอะไรหรือ? ซูเอ๋อร์ก็จะเข้าวังเหมือนกันหรือ? หรือว่าเสด็จแม่เรียกจิ้งเอ๋อร์?”
“ไม่ใช่เพคะ เสด็จแม่ไม่ได้เรียกข้าหรอก ที่ข้าบอกว่าบังเอิญ ก็เพราะเพิ่งได้ยินข่าวว่าเยี่ยนซื่อจื่อกลับเมืองหลวงมา กำลังจะเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ”
เรื่องที่เยี่ยนจิ่วเฉากลับเมืองหลวงนั้นมิใช่ความลับแต่อย่างใด ทว่าก็ไม่ถึงกับแพร่สะพัดออกไปจนเป็นเรื่องใหญ่โต อันที่จริงเรื่องที่เขาเข้าวังมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้นั้นมีคนรู้ไม่มาก กระนั้นหานจิ้งซูก็ไม่ใช่สตรีทั่วไป นางเป็นถึงชายาของเขา เป็นคุณหนูจากจวนอัครมหาเสนาบดี
เยี่ยนไหวจิ่งไม่ได้ถามว่าหานจิ้งซูรู้เรื่องนี้มาจากผู้ใด ตอนนี้เขาจำต้องเข้าวังโดยเร็วที่สุด เขาจึงบอกกับหานจิ้งซูว่า “เขาไปเข้าเฝ้าในส่วนของเขา ข้าไปเข้าเฝ้าในส่วนของข้า ไม่เกี่ยวข้องกัน”
หานจิ้งซูตอบว่า “เยี่ยนซื่อจื่อรีบร้อนเข้าเมืองหลวงถึงเพียงนี้ ต้องเป็นเพราะได้ยินว่าเสด็จพ่อกำลังประชวรหนักเป็นแน่ เยี่ยนซื่อจื่อนับว่ากตัญญูรู้คุณอยู่เหมือนกัน”
“นี่ก็ค่ำแล้ว ถ้าพระชายาไม่มีเรื่องอะไรแล้วก็ไปพักผ่อนเถิด” เยี่ยนไหวจิ่งไม่คิดจะสนทนากับนางต่อ ถ้าหากหานจิ้งซูเป็นแขก คำพูดเมื่อครู่ของเยี่ยนไหวจิ่งก็คงนับว่าเป็นการขับไล่
หานจิ้งซูเม้มปาก
นางยังไม่ทันได้ตอบอะไร สาวใช้คนหนึ่งก็ถือกล่องกำมะหยี่หรูใบหนึ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบ สาวใช้คำนับทั้งสอง “ถวายบังคมท่านอ๋อง ถวายบังคมพระชายา”
“นำของมาครบแล้วหรือ?” หานจิ้งซูถาม
สาวใช้ตอบว่า “ทูลพระชายา บ่าวนับทั้งหมดสามครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่านำของมาครบทั้งหมดเจ้าค่ะ”
“เจ้าจะออกไปข้างนอกหรือ?” เยี่ยนไหวจิ่งถาม
หานจิ้งซูยิ้ม “ฮูหยินเซียวคลอดลูก ตอนครบหนึ่งเดือน ข้าไม่สบายพอดี จึงไม่ได้นำของขวัญไปให้ วันนี้เป็นโอกาสดี จึงคิดว่าจะไปเยี่ยมเยือนฮูหยินเซียวกับคุณชายเซียวสักหน่อย”
เยี่ยนไหวจิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย
หานจิ้งซูเห็นสีหน้าของเขา จึงพูดเสียงค่อยว่า “ข้าแค่เพียง…คิดเผื่อท่านอ๋อง หวังว่าศัตรูของท่านจะลดลงสักคน และมีมิตรเพิ่มขึ้นมา ก่อนหน้านี้เพื่อที่จะช่วยเยี่ยนอ๋อง เซียวเจิ้นถิงนำทัพลงใต้ เห็นได้ชัดว่าในช่วงเวลาคับขัน ผู้ที่ฝ่าบาทให้ความสำคัญที่สุดก็คือเขา”
เยี่ยนไหวจิ่งมีสีหน้าเคร่งขรึม “เขาเป็นพ่อเลี้ยงของเยี่ยนจิ่วเฉา! มีเยี่ยนจิ่วเฉาอยู่ เจ้าคิดว่าเขาจะพึ่งพาข้าหรือ?”
น้ำเสียงของเขากระโชก จนหานจิ้งซูตกใจ นางไม่ใช่ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วในใจของเยี่ยนไหวจิ่งไม่เคยมีนางอยู่ ทว่าตั้งแต่แต่งงานมา ทั้งสองก็เคารพซึ่งกันและกัน น้ำเสียงใส่อารมณ์เช่นนี้ นางเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก
หานจิ้งซูอธิบายว่า “ท่านพ่อบอกว่า ถ้าหากเยี่ยนอ๋องไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว โอกาสที่แม่ทัพใหญ่เซียวจะพึ่งพาท่านอ๋องนั้นมีไม่มาก แต่บัดนี้เยี่ยนอ๋องกลับมาแล้ว เขายังคงตัดใจจากฮูหยินเซียวไม่ขาด บุรุษทั้งสองย่อมต้องไม่ลงรอยกัน ขอเพียงท่านอ๋องมีโอกาสที่เหมาะสม แม่ทัพใหญ่เซียวย่อมต้องเลือกข้างท่านเป็นแน่”
หากมองโดยไม่ลำเอียง คำพูดของหานจิ้งซูก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผลเสียทีเดียว แต่เยี่ยนไหวจิ่งยังคงรู้สึกไม่สบายใจอยู่ นางเป็นชายาที่แต่งเข้าจวนจิ้งอ๋อง ทั้งยังพูดอีกว่า ‘ท่านพ่อบอก’ นางสนิทสนมกับจวนอัครมหาเสนาบดีมากเพียงใด? จวนอัครมหาเสนาบดีคิดอยากสอดมือเข้ามายุ่มย่ามเรื่องของจวนนี้มากแค่ไหน?
หานจิ้งซูคุกเข่าลงและพูดว่า “ซูเอ๋อร์กับท่านพ่อเพียงแต่เป็นห่วงท่านอ๋อง ถ้าหากล้ำเส้นเกินไป ท่านอ๋องได้โปรดอภัยให้ข้าด้วย”
เยี่ยนไหวจิ่งยื่นมือออกมาประคองนาง “ซูเอ๋อร์พูดอะไรเช่นนั้น เจ้าเป็นภรรยาของข้า อัครมหาเสนาบดีเป็นพ่อตาของข้า พวกเจ้าจริงใจต่อข้า ข้ายินดีเหลือเกิน จะไปกล่าวโทษพวกเจ้าได้อย่างไร? เจ้าไปหาฮูหยินเซียวเถิด แต่ตอนนี้ก็มืดแล้ว ข้ากังวลว่าเจ้าจะเดินทางไม่สะดวก ไม่สู้ไปพรุ่งนี้ดีกว่าหรือ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]