มิใช่เรื่องน่าแปลกใจ มีองค์ชายที่มีอายุเหมาะสมอยู่เพียงสามคน พระมารดาขององค์ชายรองกับสี่ล้วนเป็นพระสนมระดับสูง พระมารดาขององค์ชายห้าเป็นอวี้ผิน สถานะไม่ได้สูงส่ง ตระกูลฝั่งแม่ไม่ได้มีกำลังมาก และองค์ชายห้าเองก็ไม่มีจิตใจที่ทะเยอทะยาน ไม่ว่ามองอย่างไรเขาก็เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด
เพื่อแสดงความสำคัญของการแต่งงานครั้งนี้ ฮ่องเต้จึงแต่งตั้งให้องค์ชายห้าเป็นเฉิงอ๋อง องค์ชายห้าได้เป็นคนแรกในบรรดาองค์ชาย ทว่าเขากลับไม่มีความสุขเพราะเขากำลังจะแต่งงานกับสตรีที่ดุร้ายแห่งซยงหนู
วันแต่งงานถูกกำหนดขึ้นในเดือนหน้า ในฐานะเจ้าสาวของราชวงศ์ อวี๋หวั่นจะถูกรับเชิญให้ร่วมงานเลี้ยงแต่งงานในวันนั้น ซึ่งหมายความว่าเธอมีกฎระเบียบมากมายที่ต้องเรียนรู้ และเข้มข้นไม่น้อยไปกว่าพี่รองของเธอที่ต้องเข้าเรียนที่กั๋วจื่อเจียนเลย
ข่าวนี้ยังไม่ทันจะย่อย ในเช้าวันรุ่งขึ้น ก็มีเหตุการณ์ใหม่ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นเกิดขึ้นในวังหลวง ตำหนักเฟิ่งชีเกิดเพลิงไหม้
จู่ๆ กลางดึกอันเงียบสงัดก็เกิดเพลิงลุกไหม้ ชาววังทุกคนพักผ่อนกันหมดแล้ว ตอนที่รู้ตัวเพลิงก็ลามไปถึงตำหนักของฮองเฮาแล้ว และฮองเฮาก็ได้รับบาดเจ็บ ตำหนักเฟิ่งชีขนาดใหญ่กลายเป็นซากปรักหักพังในกองเพลิง
ยามที่ได้ยินเรื่องนี้จากลุงวั่น อวี๋หวั่นกำลังยืนเลือกดอกไม้อยู่ที่สวนหน้าบ้าน เธอหมายจะนำไปให้ห้องครัวต้มน้ำดองกุหลาบให้กับเด็กน้อยทั้งสาม
มือที่กำลังถือกรรไกรหยุดชะงัก พลันถามลุงวั่น “แล้วตอนนี้ฮองเฮาไปอยู่ที่ใด?”
ลุงวั่นตอบ “ย้ายไปพักอยู่ที่ตำหนักเจาหยางชั่วคราว”
บทสนทนากับเยี่ยนจิ่วเฉาในวังหลวงฉายเข้ามาในความคิดของอวี๋หวั่น
‘นางต้องการให้เราช่วยนางออกจากตำหนักเฟิ่งชีเจ้าค่ะ’
‘มิใช่เรื่องยาก เจ้าไปบอกฮองเฮา ภายในสามวัน นางจะได้ตามที่นางต้องการ’
นับดูแล้ว วันนี้ก็เป็นวันที่สามพอดี
ไม่มีเรื่องบังเอิญเช่นนี้ในโลก ที่ตำหนักเฟิ่งชีเกิดเพลิงไหม้ ต้องเป็นฝีมือของเยี่ยนจิ่วเฉาเป็นแน่ เธอเคยแอบเดาว่าเยี่ยนจิ่วเฉาจะใช้วิธีใด ไม่คิดว่าจะใช้กลอุบายที่เรียบง่ายและหยาบคายเช่นนี้ จุดเพลิงเผาตำหนักเฟิ่งชีทั้งหลัง ฮองเฮาที่ ‘ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน’ มาสิบปีในที่สุดก็ได้ออกมาอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม
วิธีนี้ฟังดูเหมือนง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจุดเพลิงขนาดใหญ่ในวังหลวงได้โดยที่ไม่มีใครล่วงรู้ “คุณชายของพวกเจ้านี่ช่าง…” อวี๋หวั่นอดขำออกมาไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะให้คำจำกัดความเยี่ยนจิ่วเฉาอย่างไรดี แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ เขาทำให้เธอประหลาดใจอีกครั้งหนึ่งแล้ว
นี่เป็นเพียงการเริ่มต้น แม้เยี่ยนจิ่วเฉาจะช่วยฮองเฮาออกมาจากตำหนักเฟิ่งชีได้แล้ว แต่จะอยู่ข้างนอกไปได้ตลอดหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความสามารถของฮองเฮาเอง
หวังว่านางจะไม่ทำให้เธอและเยี่ยนจิ่วเฉาต้องผิดหวัง
……………..
ในห้องบรรทมของตำหนักเจาหยาง เหล่าหมอหญิงได้นำน้ำเลือดออกมา ฮ่องเต้เดินเข้าไป ตรัสพร้อมกับมองหมอหลวงที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าเตียงและกำลังเปลี่ยนยาให้ฮองเฮา “ฮองเฮาอาการเป็นอย่างไร?”
หมอหลวงหันกลับมาคำนับ “ทูลฝ่าบาท ฮองเฮาได้รับบาดเจ็บสาหัส กระหม่อมไม่กล้าด่วนสรุปในยามนี้”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว
ขันทีวังส่งสายตาให้หมอหลวง หมอหลวงจึงหยิบกล่องยาขึ้นและเดินออกไปพร้อมกับขันทีวัง เหล่าชาววังก็ถอยกลับออกไปอย่างรู้ความ ในห้องบรรทมขนาดใหญ่ เหลือเพียงฮ่องเต้และฮองเฮาผู้ใกล้ตายเท่านั้น
ฮ่องเต้เดินมายืนอยู่หน้าเตียงเงียบๆ สักพักหนึ่ง ฮองเฮาไอสองสามครั้ง ฮ่องเต้ก็พลันขมวดคิ้วและยื่นมือออกไป แต่ก่อนที่เขาจะสัมผัสถูกตัวฮองเฮา ก็เห็นฮองเฮารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเสียก่อน
ฮองเฮาลืมตาอย่างอ่อนแรง มองไปทางบุรุษในชุดคลุมมังกรสีเหลืองสดใส “… ฝ่าบาท?”
เสียงของนางแหบแห้ง ริมฝีปากแห้งผาก นางผ่านวัยที่เสมือนไข่มุก เปรียบดังหยกมาแล้ว ไม้ใกล้ฝั่งเช่นนางที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสยิ่งทำให้นางดูแก่ลงไปอีก
วังหลังไม่เคยขาดสตรี แต่ภรรยามีเพียงคนเดียว
ฮ่องเต้ไม่อาจรักฮองเฮาได้ แต่ฮองเฮาเป็นการสืบสันตติวงศ์ ซึ่งพระสนมองค์ใดของฮ่องเต้ก็มิอาจเทียบได้
“ฮองเฮารู้สึกอย่างไรบ้าง?” ฮ่องเต้ถามอย่างเย็นชา
ฮองเฮาเอ่ยอย่างอ่อนแรง “ทำให้ฝ่าบาททรงตกใจแล้ว หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว พลางตรัสว่า “สาวใช้บอกว่าเดิมทีเจ้าหนีออกไปแล้ว ไยจึงวิ่งกลับเข้าไปอีก?”
ฮองเฮามองฮ่องเต้ด้วยสายตาลึกซึ้ง ยกแขนที่อยู่ใต้ผ้าห่มขึ้นมาด้วยความยากลำบาก
เมื่อฮ่องเต้สังเกตเห็นมือที่กำแน่นของนาง เขาจึงยื่นมือออกไปรับด้วยจิตใต้สำนึก ฮองเฮานำถุงเล็กๆ ขนาดเท่าฝ่ามือใส่ในมือของเขา
ถุงใบนี้มีอายุหลายปี ที่มุมเปื่อยยุ่น สีซีดจาง ลวดลายที่ปักอยู่ด้านบนไม่เรียบเนียน ทราบได้ว่าถูกคนสัมผัสบ่อยอยู่ครั้ง
ฮ่องเต้เปิดถุงออกดู ด้านในนั้นมีผมสองมัดที่มัดด้วยเชือกสีแดง
หัวใจของเขาราวกับมีบางอย่างพุ่งชน ความทรงจำหวนกลับไปในคืนวันที่เขาแต่งงานกับฮองเฮาเมื่อหลายปีก่อน ในเวลานั้นเขายังไม่ได้เป็นแม้แต่รัชทายาท เป็นเพียงองค์ชายอ่อนแอที่เพิ่งออกจากตำหนักเย็นและไม่มีรากฐานที่มั่นคงในราชสำนัก นางเป็นบุตรีของราชครู เขาเกาะนางให้ตนเองสูงขึ้น เขายังจำได้ว่านางตัดปอยผมสีดำขลับบนศีรษะของเขาอย่างไร นางตกใจ และถามตัวเองว่านางตัดมากเกินไปหรือเปล่า?
เขาเห็นนางเก็บเส้นผมของพวกเขาทั้งสองอย่างระมัดระวัง แล้วใส่ลงในถุงใบนี้ พลันเผยรอยยิ้มอันสดใสของเด็กสาว
“ไยเจ้าถึง…” ฮ่องเต้กลืนน้ำลาย “วิ่งกลับมาเพื่อสิ่งนี้?”
น้ำตาของฮองเฮาไหลลงมาที่หางตาของนาง แต่มุมปากของนางกลับกำลังยิ้ม “หม่อมฉันไม่เคยเสียใจเลยเพคะ ที่ได้เคยเป็นสามีภรรยากับฝ่าบาท แม้หม่อมฉันสิ้นลมก็ไม่เสียใจ”
ฮ่องเต้กำถุงใบนั้น พร้อมกับสูดลมหายใจ “อย่าได้เปล่งวาจาที่ทำลายกำลังใจ ข้าจะให้หมอหลวงมารักษาเจ้าให้หาย”
ฮองเฮาไม่เปล่งวาจาที่ทำลายกำลังใจอีก พลางจ้องมองฮ่องเต้เนืองนิ่ง “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”
ฮ่องเต้หยิบถุงและเดินออกไป
ฮองเฮารู้ว่าตนเองชนะการเดิมพันแล้ว
เมื่อฮ่องเต้ออกจากห้องบรรทมของตำหนักเจาหยาง แววตาเสน่หาบนใบหน้าของฮองเฮาก็เลือนหายเป็นปลิดทิ้ง ท่ามกลางแสงบนท้องฟ้า นางกลับมามีท่าทีเยือกเย็น
ความสงสารเพียงเล็กน้อยไม่เพียงพอที่จะทำให้ฮ่องเต้อภัยในความผิดของฮองเฮา แต่ในยามที่ฮ่องเต้ให้คนไปตรวจสอบสาเหตุของเพลิงไหม้ที่ตำหนักเฟิ่งชีอย่างละเอียด ก็กลับมีข่าวลือแพร่กระจายในวังหลวงอย่างลับๆ
“เจ้าได้ยินหรือยัง? ที่หลิวกุ้ยเหรินต้องลงไปเลี้ยงลูกในสุสานกษัตริย์ในตอนนั้น เพราะสวี่เสียนเฟยให้คนพานางไปที่อุทยานอวี้ฮวา หากนางไม่ไปที่อุทยานอวี้ฮวา นางคงไม่ต้องกินขนมอาบยาพิษ นางและองค์ชายในครรภ์ก็คงได้มีชีวิตรอด”
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยรึ?”
“ในตอนแรก คนที่ต้องรับทุกข์ควรจะเป็นสวี่เสียนเฟย แต่สวี่เสียนเฟยดึงหลิวกุ้ยเหรินมาตายแทน”
“นางจิตใจชั่วร้ายถึงเพียงนี้เลยรึ? มีคนปองร้ายนาง นางแค่จัดการก็ได้ ไยต้องทำร้ายหลิวกุ้ยเหรินผู้บริสุทธิ์”
“หลิวกุ้ยเหรินและฮองเฮาสนิทสนมกัน ตอนนั้นเราต่างสงสัยว่าฮองเฮาแสร้งทำดีกับหลิวกุ้ยเหริน และแท้จริงแล้วกำลังหาโอกาสกำจัดทารกในครรภ์ของหลิวกุ้ยเหริน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเราทุกคนจะคิดผิด”
ถูกต้อง แต่พวกนางไม่มีโอกาสยืนยัน หากเรื่องเหล่านี้ไปถึงหูฮ่องเต้ ฮ่องเต้ก็จะให้คนลากตัวนางในที่ปากเสียเหล่านั้นออกไปเฆี่ยนโบยจนตาย ตั้งแต่นั้นมาไม่มีผู้ใดในวังหลวงกล้าวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้อีก แม้ว่าข่าวลือจะถูกระงับ แต่เมล็ดพันธุ์ในใจของฮ่องเต้ก็ผุดขึ้นอย่างเงียบๆ
‘ใช่เพคะ ยาพิษเป็นของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่ได้ฆ่าบุตรมังกรของหลิวกุ้ยเหริน! หม่อมฉันเป็นฮองเฮา บุตรของฝ่าบาทก็เหมือนเป็นบุตรของหม่อมฉัน ไยหม่อมฉันต้องอยากทำร้ายบุตรของตัวเองละเพคะ? ก็แค่กุ้ยเหรินคนเดียว หากหม่อมฉันจะแย่งบุตรชายของนางมาเลี้ยงดูแล้วอย่างไร? ใครจะว่าอะไรได้? ทารกในครรภ์ของหลิวกุ้ยเหรินไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่มีเหตุผลที่ต้องทำร้ายเขาเลยนะเพคะ!’
นี่เป็นคำพูดในอดีตของฮองเฮาเมื่อครานั้น ฮ่องเต้ไม่อาจยอมรับได้ว่าภรรยาที่อ่อนโยนและมีคุณธรรมจะกลายเป็นงูพิษ และยังโกรธที่นางกำเริบเสิบสาน ไม่ว่าแท้จริงคนที่นางจะทำร้ายเป็นใคร เขาก็ไม่อยากให้อภัยนาง
ไม่ใช่ว่าฮองเฮาไม่เคยกล่าวหาสวี่เสียนเฟย แต่นางในคนสนิทของหลิวกุ้ยเหรินให้การว่าหลิวกุ้ยเหรินไปอุทยานอวี้ฮวาด้วยตนเอง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับใคร ด้วยเหตุนี้ ฮ่องเต้จึงเชื่อว่าฮองเฮาได้วางยาหลิวกุ้ยเหรินก่อน และค่อยใส่ความสวี่เสียนเฟยในตอนท้าย
“ข่าวลือเกี่ยวกับสวี่เสียนเฟยและหลิวกุ้ยเหรินออกมาเมื่อใด?” ฮ่องเต้ถาม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]