สวี่เสียนเฟยมืดมนราวกับท้องฟ้าในวันที่เต็มไปด้วยเมฆหมอก
กระนั้นสิ่งที่อวี๋หวั่นพูดก็ไม่ผิด แต่ไหนแต่ไรมาพระชายาของเยี่ยนอ๋องไม่คุกเข่าให้สนม
เมื่อมองท่าทางเหิมเกริมของนางแพศยาตรงหน้า สวี่เสียนเฟยก็นึกเสียดายที่เมื่อก่อนมิได้ให้นางคุกเข่ามากกว่านี้
สวี่เสียนเฟยยิ้มอย่างเย็นชา “เจ้าคิดว่าเจ้าไม่ต้องคุกเข่าให้ข้า แล้วข้าจะไม่มีวิธีจัดการเจ้าหรือ?”
อวี๋หวั่นพูดอย่างไม่รีบร้อนว่า “ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น หากวิธีของพระสนมคือการสร้างความลำบากให้ข้า โปรดอย่าลืมว่าท่านมิใช่คนเดียวที่มีอำนาจค้ำฟ้าอีกต่อไป ฮองเฮาย้ายเข้ามาในตำหนักเจาหยางแล้ว เสียนเฟยจะทำอะไรหม่อมฉันก็ควรต้องถามฮองเฮาก่อนมิใช่หรือ?”
ข้าต้องไปถามนาง? นางก็เป็นเพียงฮองเฮาที่ปราศจากอำนาจ
เมื่อในใจของสวี่เสียนเฟยคิดได้ดังนั้น รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ปรากฏบนใบหน้าของนาง “อย่ามาใช้ฮองเฮากดดันข้า พระวรกายของฮองเฮายังไม่แข็งแรง ไยต้องนำเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ไปรบกวนนาง?”
ทันทีที่กล่าวประโยคนั้นออกไป แม่นางชุยก็เดินมาพร้อมกับนางกำนัลและขันทีอีกจำนวนหนึ่ง นางคำนับสวี่เสียนเฟย “คารวะสวี่เสียนเฟย” หลังจากนั้นก็หันไปหาอวี๋หวั่นซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง พร้อมกับยิ้มน้อยๆ “เมื่อครู่ได้ยินว่าฮูหยินน้อยเข้าวังมาเข้าเฝ้าฮองเฮา ฮองเฮาทรงรออยู่นานแต่ไม่เห็นฮูหยินน้อยเข้ามา ที่แท้ก็อยู่นี่เอง”
อวี๋หวั่นเหลือบมองสวี่เสียนเฟย “ข้าได้รับความเอ็นดูจากเสียนเฟย จึงสนทนากันเล็กน้อย”
สวี่เสียนเฟยกวาดสายตามองอวี๋หวั่นและแม่นางชุยไปมา ด้วยท่าทางคุ้นเคยกันของทั้งสอง ย่อมไม่มีผู้ใดเชื่อว่าพวกนางพบหน้ากันเป็นครั้งแรก สายตาของสวี่เสียนเฟยมีเลศนัย นางบอกกับแม่นางชุยว่า “ข้าเองก็อยากเข้าเฝ้าฮองเฮา พวกเราไปด้วยกันเถิด”
ฮองเฮาป่วยหนัก ทว่าสวี่เสียนเฟยแต่งกายเสียหรูหราวับวาม มีแต่คนโง่งมเท่านั้นที่จะเชื่อว่านางตั้งใจมาเข้าเฝ้าฮองเฮา แต่ก็อาจทำให้ฮ่องเต้สับสนได้พอสมควร
แม่นางชุยและอวี๋หวั่นรู้แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป ได้แต่เดินไปพร้อมกับเกี้ยวของสวี่เสียนเฟยไปยังตำหนักเจาหยาง
ฮ่องเต้ให้ขันทีวังคัดเลือกนางกำนัลให้ฮองเฮา ข้างกายของฮองเฮาจึงมิได้เปล่าเปลี่ยวอีกต่อไป
ฮองเฮาสวมผ้าคาดศีรษะนั่งอยู่บนหัวเตียง นางสีหน้าซีดเซียว ทว่าสติสัมปชัญะของนางยังคงกระจ่างชัด ข่าวว่าฮองเฮากลับมาเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทท่าทางจะแพร่สะพัดออกไปแล้ว วันนี้ผู้ที่มาเข้าเฝ้านางมิได้มีเพียงอวี๋หวั่น แต่ยังมีคุณหนูจากตระกูลขุนนางอีกหลายคนและราชนิกุลอีกหนึ่งคน
ราชนิกุลคนนั้นก็คือพระชายาองค์โต ลูกสะใภ้ของนาง
อวี๋หวั่นเรียนจากวั่นมามาได้ไม่มาก จึงไม่เข้าใจว่าท่าทางนี้ของนางมีความหมายโดยนัยว่าอย่างไร เธอรู้เพียงว่าเมื่อสวี่เสียนเฟยเห็นคุณหนูเหล่านี้ ความประหลาดใจก็ปรากฏบนใบหน้าของนาง
“พระสนม เสียนเฟยและฮูหยินน้อยเยี่ยนมาเข้าเฝ้าเพคะ” แม่นางชุยรายงาน
ฮองเฮาเห็นตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่นางรอให้แม่นางชุยเอ่ยปาก เมื่อฟังจบก็เผยรอยยิ้มแปลกใจออกมา “น้องหญิงมาพร้อมกับฮูหยินน้อยได้อย่างไรหรือ?”
อวี๋หวั่นถวายบังคมฮองเฮา ครั้นพบหน้ากันครั้งแรกเธอได้ถวายบังคมแบบเต็มรูปแบบแล้ว วันนี้จึงไม่ต้องมากพิธี
สวี่เสียนเฟยก้าวไปข้างหน้า ค้อมกายแล้วตอบว่า “ถวายบังคมท่านพี่”
รอยยิ้มของฮองเฮาสง่างามและใจดี “ไม่พบกันนานหลายปี น้องยังงดงามเหมือนเดิม แต่ข้าชราลงแล้ว”
งดงามเหมือนเดิม? พูดต่อหน้าเหล่าโฉมสะคราญอ่อนเยาว์เหล่านี้น่ะหรือ?
ไม่รู้ว่าฮองเฮาเอ่ยชมนางด้วยความจริงใจหรือกล่าวแดกดัน
สวี่เสียนเฟยมีสีหน้ายิ้มแย้มทว่าในใจรู้สึกเดือดดาล “ท่านพี่ล้อกันเล่นแล้วเพคะ ท่านพี่ป่วยหนัก หน้าซีดไปสักหน่อย รอท่านพี่แข็งแรงกว่านี้ ท่านก็จะกลับมางดงามดังดอกโบตั๋นแล้วเพคะ”
ฮองเฮายิ้มอย่างอ่อนแรง “น้องยังปากหวานเหมือนเดิม”
พูดจบ ฮองเฮาก็หันไปมองอวี๋หวั่น “ฮูหยินน้อยคงยังไม่เคยพบพระชายาองค์ใหญ่กับญาติของข้ากระมัง?”
คุณหนูทั้งหลายต่างลุกขึ้นยืน
พระชายายังคงนั่งหลังตรง
อวี๋หวั่นคำนับนาง นางค้อมกายตอบ จากนั้นเหล่าคุณหนูก็คำนับอวี๋หวั่น
ฮองเฮาแนะนำญาติด้วยตนเอง จนมาถึงคุณหนูคนสุดท้ายนั้นยืนอยู่ข้างพระชายา ฮองเฮายิ้มแล้วกล่าวว่า “นี่คือคุณหนูอวิ๋นจากจวนติ้งกั๋วกง”
มิน่าเล่าสวี่เสียนเฟยถึงมีสีหน้าเปลี่ยนไป จวนติ้งกั๋วกงจงรักภักดีมาสามชั่วอายุคน ลูกหลานมีความสามารถ ชำนาญทั้งบู๊และบุ๋น สำหรับฝ่าบาทแล้ว ความสำคัญของพวกเขาในราชสำนักมิได้ด้อยไปกว่าอัครมหาเสนาบดี ครานี้ฮองเฮาคงตั้งใจเลือกพระชายารองให้องค์ชายใหญ่
ติ้งกั๋วกงย่อมไม่ยินดีให้บุตรีของตนต้องเป็นชายารอง แต่หากได้เป็นว่าที่หวงเฟยเล่า?
ทุกคนต่างสนทนาอยู่กับฮองเฮาครู่หนึ่ง สวี่เสียนเฟยรู้สึกรำคาญใจ จึงลูบมุกประดับข้างจอนผม แล้วลุกขึ้นยืน “น้องยังมีงานต้องทำ ขอตัวกลับก่อนเพคะ วันหลังจะมาเยี่ยมท่านพี่อีก”
“ไปส่งพระสนม” ฮองเฮาบอกแม่นางชุย
“มิจำเป็นเพคะ” สวี่เสียนเฟยตอบ
อวี๋หวั่นยิ้มน้อยๆ พลางลุกขึ้น “หม่อมฉันเองก็ต้องไปเช่นกัน หากไม่รังเกียจ หม่อมฉันจะไปส่งพระสนมเองเพคะ”
หากจะปฏิเสธอีกครั้งก็จะเป็นการหักหาญน้ำใจเกินไปสักหน่อย
สวี่เสียนเฟยจึงมิได้กล่าวอะไรอีก และเดินออกมาจากตำหนักเจาหยางพร้อมกับอวี๋หวั่น
ก่อนที่เหล่าขันทีจะยกเกี้ยวขึ้น สวี่เสียนเฟยก็โบกมือ พวกเขาจึงถอยออกไปอย่างรู้งาน
จากตำหนักเจาหยางไปจนถึงตำหนักเสียนฝู จำต้องผ่านสระไท่เยี่ย นางกำนัลต่างเดินตามอยู่ห่างๆ ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้หากปราศจากคำสั่งของสวี่เสียนเฟย
เมื่อเดินไปถึงต้นหลิ่วต้นหนึ่ง สวี่เสียนเฟยก็หยุดฝีเท้าลง “นางอวี๋ เจ้าตอบข้ามาตรงๆ ที่ไฟไหม้ตำหนักเฟิ่งชีเป็นฝีมือจวนคุณชายใช่หรือไม่?”
อวี๋หวั่นทอดสายตาไปยังผิวน้ำทอประกายวิบวับ “เหตุใดพระสนมจึงคิดเช่นนั้น?”
สวี่เสียนเฟยแค่นเสียงขึ้นจมูก “ข้ารู้นิสัยของฮองเฮาดีกว่าเจ้า นางไม่มีความสามารถพอที่จะทำเช่นนั้น และไม่มีความกล้าหาญถึงเพียงนั้นด้วย”
อวี๋หวั่นยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ดังนั้นพระสนมจึงมั่นใจว่าเป็นจวนคุณชายหรือ? เหตุใดข้าจึงได้ยินว่าเป็นฝีมือของพระสนมกันเล่า?”
สวี่เสียนเฟยมองอวี๋หวั่นด้วยสายตาเย็นเยียบ “นั่นไม่ใช่ข่าวลือที่พวกเจ้าแพร่ออกไปหรอกรึ!”
อวี๋หวั่นไม่ได้มีสีหน้าตกใจแม้แต่น้อย “ถ้าใช่แล้วอย่างไร? ไม่ใช่แล้วอย่างไร? พระสนมกลัวหรือเพคะ?”
สวี่เสียนเฟยโมโหจนแทบจิกเล็บลงในเนื้อของตน “นางอวี๋ เจ้าอย่าคิดว่าเมื่อแต่งเข้าจวนคุณชายมาแล้วจะไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาได้นะ เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าฝ่าบาทจะทรงส่งต่อพระราชกิจอันใหญ่หลวงให้กับกากเดนอย่างนั้น? องค์ชายใหญ่ไม่เอาไหน จะไปรับหน้าที่อันยิ่งใหญ่เพียงนั้นได้อย่างไร? ฝ่าบาททรงได้ยินข่าวลวงและเข้าใจผิด จึงปล่อยฮองเฮามาคานอำนาจข้า ลูกของข้าสิที่เป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท เจ้าล่วงเกินข้าย่อมไม่มีผลดีต่อตัวเจ้าเอง! ข้าขอเตือนให้เจ้าถอยออกไป ครานี้ข้าจะอภัยให้กับเจ้าที่ยังเยาว์วัยและไม่รู้ความ แต่หากเจ้ายังขืนมาตอแยต่อไปละก็ อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
อวี๋หวั่นเอ่ยถามอย่างมิได้สะทกสะท้าน “พระสนมจะไม่เกรงใจข้าอย่างไรหรือ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]