ปั้นซย่าเดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เข้ามาในห้อง แล้วบอกกับจื่อซูซึ่งกำลังจัดของอยู่ว่า “ยินดีด้วยเจ้าค่ะคุณหนู เพิ่งจะเข้ามาในจวนก็ได้เป็นหัวหน้าสาวใช้แล้ว”
หัวหน้าสาวใช้ของจวนคุณชายเชียวนะ มีหน้ามีตากว่าสาวทั่วไปไม่รู้เท่าไร
จื่อซูกลับไม่รู้สึกดีใจแม้แต้น้อย นางปัดเสื้อผ้าแล้วพูดว่า “มีอะไรน่ายินดีหรือ? หัวหน้าสาวใช้ก็คือสาวใช้ อย่างไร ก็ยังเป็นบ่าว อีกอย่าง หลังจากนี้เจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่าคุณหนูแล้ว ตอนนี้ข้าก็เป็นสาวใช้เหมือนกับเจ้า”
ปั้นซย่ารู้ดีว่าคุณหนูบ้านตนยังคิดไม่ตกเรื่องตกเป็นนักโทษเพราะความผิด นางไม่รู้ว่าจะปลอบคุณหนูอย่างไรดี นางไม่กล้าพูดอะไรต่อ บรรยากาศในห้องจึงเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนใจ
ทันใดนั้นจื่อซูก็เอ่ยขึ้นว่า “จะถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว”
ปั้นซย่าพูดว่า “ข้าจะไปยกอาหาร…”
“ข้าไปเอง!” ฝูหลิงที่เพิ่งเข้ามาได้ยินว่ามีอาหารต้องไปยก จึงสาวเท้ารีบออกไป
แน่นอนว่าสาวใช้ห้องอื่นๆ ก็ได้ยินเช่นกันว่าจื่อซูได้เป็นหัวหน้าสาวใช้ การได้เป็นหัวหน้าสาวใช้ของจวนคุณชายนั้นมิได้หมายความว่าสถานะจะสูงขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่เงินเดือนก็จะมากขึ้นเป็นเท่าตัว เถาเอ๋อร์และหลีเอ๋อร์อายุยังน้อย ยังไม่รู้สึกอิจฉาริษยา และไม่ได้รู้สึกว่าการที่จื่อซูซึ่งเข้ามาหลังพวกนาง แต่ข้ามหน้าข้ามตาพวกนางนั้นเป็นเรื่องไม่เหมาะสมแต่อย่างใด ทว่าหากเลือกได้ พวกนางก็ชอบซูมู่มากกว่า
ซูมู่พูดน้อย แต่เป็นคนจริงจัง ขยันขันแข็ง และไม่เย่อหยิ่ง เมื่อเช้าพวกนางออกไปล้างหน้าบ้วนปาก เมื่อกลับมาก็พบว่าซูมู่เก็บกวาดห้องจนสะอาด อาหารเช้าก็ไปยกมาให้พวกนางเรียบร้อยแล้ว
“วันนี้ข้าคุยกับจื่อซู นางไม่สนใจข้าเลย” เถาเอ๋อร์นั่งอยู่ที่ขอบเตียง กระซิบกระซาบกับหลีเอ๋อร์ซึ่งกำลังเย็บกางเกงอยู่
หลีเอ๋อร์กางเกงขาด นางไม่ได้ถอดออก แต่กลับเย็บขณะที่กำลังสวมอยู่ ใช้เวลาเย็บนานโขก็ยังเย็บไม่สำเร็จ ซูมู่จึงเดินไปหา “ข้าทำให้”
ซูมู่ได้ยินคำพูดของเถาเอ๋อร์ แต่นางไม่ได้พูดอะไรต่อ ก้มหน้าก้มตาเย็บกางเกงให้หลีเอ๋อร์
หลีเอ๋อร์บอกกับเถาเอ๋อร์ว่า “เจ้าพูดเบาหน่อย ระวังนางได้ยินเข้า”
เถาเอ๋อร์ตกใจจนหันไปมองที่ปากประตู เมื่อประตูห้องปิดอยู่ นางจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ก็อดรู้สึกสงสัยไม่ ได้ จึงถามซูมู่ที่อยู่ตรงหน้าว่า “ท่านพี่ซู ท่านกับนางเข้าจวนมาพร้อมกัน ก่อนหน้านี้ที่หอซือเยวี่ย นางก็ไม่สนใครเช่นนี้หรือ?”
ซูมู่ชะงักไป นางกัดปลายด้ายแล้วพูดว่า “ข้ากับนางไม่ค่อยได้คุยกัน นางอยู่ห้องเดียวกับปั้นซย่า ข้ากับฝูหลิงก็แยกกันอยู่คนละห้อง”
ความหมายโดยนัยก็คือนางก็ไม่ค่อยรู้จักจื่อซู
หลีเอ๋อร์พูดว่า “เมื่อวานฮูหยินบอกไม่ใช่หรือว่าเมื่อก่อนนางเคยเป็นคุณหนูจากตระกูลข้าราชการ จะเอาแต่ใจสักหน่อยก็เป็นเรื่องปกติ”
กางเกงเย็บเสร็จแล้ว ซูมู่ส่งเข็มคืนให้หลีเอ๋อร์ “ข้าจะไปยกอาหาร”
เถาเอ๋อร์มองตามหลังซูมู่ซึ่งเดินออกจากห้องไป นางยิ้มพลางคล้องแขนของหลีเอ๋อร์ “พี่ซูดีเหลือเกิน!”
อาหารการกินที่จวนคุณชายนั้นดีเหลือเกิน วันนี้มีอาหารสามชนิด น้ำแกงอีกหนึ่ง ได้แก่ซี่โครงน้ำแดง เนื้อสามชั้นตุ๋นผักกาดขาว ผักจี้ผัด น้ำแกงถั่วเขียว เถาเอ๋อร์คีบซี่โครงน้ำแดงให้หลีเอ๋อร์หนึ่งชิ้น จากนั้นก็คีบให้ซูมู่อีกหนึ่งชิ้น
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังกินข้าวอยู่นั้น ก็มีเสียงดังสนั่นคล้ายกับของตกดังมาจากห้องข้างๆ หลังจากนั้นก็มีเสียงของปั้นซย่ากรีดร้อง “ว้ายยย ฝูหลิง!”
ฝูหลิงเกิดเรื่องแล้ว นางไปยกอาหารในห้องครัวใหญ่มา เพิ่งวางชามลงบนโต๊ะ ใบหน้าของนางก็ซีดเผือด แล้วล้มลงไปกับพื้น
ห้องของพวกนางอยู่ห่างจากห้องโถงใหญ่ไม่มาก อวี๋หวั่นกำลังกินข้าวกับบุรุษทั้งสี่ เธอเพิ่งแกะกุ้งให้เสี่ยวเป่า ยังไม่ทันได้ป้อนเข้าปาก ก็ได้ยินเสียงดังขึ้น
เสี่ยวเป่าอ้าปาก หมายจะเข้าไปงับกุ้งในมือของอวี๋หวั่น
“เกิดอะไรขึ้น?” อวี๋หวั่นชะงักไป
เสี่ยวเป่าชะเง้ออยู่นานก็ยังไม่ได้กินกุ้งสักที
อวี๋หวั่นไม่ทันได้ตั้งสติ จึงป้อนกุ้งเข้าปากต้าเป่า
ต้าเป่าที่ถูกป้อนกุ้งไปแล้วสามครั้ง “…”
เสี่ยวเป่าน้ำตารื้น
อวี๋หวั่นรีบไปยังห้องของพวกปั้นซย่า ทว่าในตอนที่เธอไปถึงนั้น ฝูหลิงก็ไม่เป็นไรแล้ว นางนั่งอยู่ที่โต๊ะ ตักข้าวคำโตเข้าปาก ในห้องเต็มไปด้วยบรรดาสาวใช้ที่มามุงดูเหตุการณ์ พวกนางล้วนแต่คำนับอวี๋หวั่นครั้งหนึ่ง
“เมื่อครู่ทำไมถึงเอะอะเสียงดัง?” อวี๋หวั่นถามปั้นซย่า เธอจำเสียงของนางได้
ปั้นซย่าก้มหน้า “ฝูหลิงเป็นลมไป บ่าวตกใจกลัวเจ้าค่ะ…แต่ว่าซูมู่ช่วยแล้ว ซูมู่บอกว่าฝูหลิงหิวข้าว จึงเอาข้าวของนางให้ฝูหลิงกิน”
อวี๋หวั่นจับชีพจรฝูหลิง ชีพจรของนางไม่มีปัญหาอะไรมาก แต่ว่าถึงกับหิวข้าวจนเป็นลมไป ก็หมายความว่านางไม่ได้อดเพียงมื้อสองมื้อ ที่หอซือเยวี่ยนางคงไม่ได้กินอะไร เมื่อคืนเข้าจวนมาก็ต้องช่วยดับเพลิง จึงหมดเรี่ยวหมดแรง
ฝูหลิงตอบอย่างลังเล “ข้า…ข้ากินไม่เยอะ…”
เจ้านายคนก่อนหน้าล้วนแต่ไล่นางออกเพราะนางกินเยอะ จวนคุณชายนี้ดีเหลือเกิน นางไม่อยากถูกไล่ออก
“เจ้ากินได้กี่ชาม?” อวี๋หวั่นถาม
“ก็…หนึ่ง…หนึ่งชามครึ่ง…สองชาม” ฝูหลิงนับนิ้วอย่างอ่อนแรง เมื่อเห็นอวี๋หวั่นมองตาอย่างไม่ค่อยเชื่อ นางจึงก้มหน้า “สาม…อืม…อืม…”
นางพึมพำอยู่ครู่หนึ่ง จากนี้ก็ทำมือเป็นจำนวนตัวเลขพร้อมกับใบหน้าแดงก่ำ
อวี๋หวั่นบอกกับหลีเอ๋อร์ว่า “ไปตักข้าวมาสิบชาม ตักกับข้าวมาสำหรับสิบคน”
“…จะ…เจ้าค่ะ!” หลีเอ๋อร์เดินออกไปด้วยความตกตะลึง
“ซูมู่ เจ้ามากับข้า” อวี๋หวั่นเรียกซูมู่ออกไป
บ่าวคนอื่นไม่กล้าตามไป แต่เดากันว่าซูมู่มีความดีความชอบ ฮูหยินต้องตบรางวัลนางเป็นแน่
“เจ้าชื่อซูมู่จริงหรือ?” อวี๋หวั่นเอ่ยถาม “มู่ (木)ในคำว่ามู่โถว(木头)น่ะหรือ? ”
ซูมู่หลุบตาลง “คำว่ามู่(莯)ในมู่เฉ่า(莯草)เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ใช้ชื่อเดิม” อวี๋หวั่นบอก
“ขอบคุณฮูหยิน” ซูมู่คำนับครั้งหนึ่ง
“อีกเรื่องหนึ่ง” อวี๋หวั่นมองนางพลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไม่ต้องเอาข้าวของเจ้าให้ฝูหลิง จวนคุณชายไม่ได้ถึงกับดูแลสาวใช้คนเดียวไม่ไหว หลังจากนี้เจ้าดูแลตัวเองให้ดีก็พอ”
“บ่าวจะจำไว้เจ้าค่ะ” ซูมู่ตอบด้วยท่าทางเคารพนบนอบ
อวี๋หวั่นกลับห้องไปกินข้าวต่อ ซูมู่ยังคงทำท่าคำนับจนอวี๋หวั่นเดินออกไป แล้วนางค่อยเดินกลับห้อง
เถาเอ๋อร์รีบเข้าไปหา “พี่ซู ฮูหยินให้รางวัลท่านหรือเปล่า?”
“เปล่า” ซูมู่ส่ายหน้า
เถาเอ๋อร์ผิดหวัง “อ๋า? ท่านมีความดีความชอบตั้งสองครั้ง เหตุใดฮูหยินไม่ให้รางวัลท่านบ้างนะ? ข้ายังคิดเสียอีกว่าท่านจะได้เป็นหัวหน้าสาวใช้เหมือนพี่จื่อซู”
“กินข้าวเถอะ” ซูมู่บอก
……
อวี๋หวั่นตื่นสาย เธอจึงไม่ได้กินอาหารกลางวัน และตรงดิ่งไปยังหลันฟางเก๋อเพื่อเรียนกับวั่นมามา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]