สารถีรถม้าคือเจียงเสี่ยวอู่และเจียงไห่
นี่เป็นครั้งแรกที่ได้รับภารกิจสำคัญของจวน เจียงเสี่ยวอู่รู้สึกตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด เขาพูดเป็นน้ำไหลไฟดับไปตลอดทาง คอยแนะนำสถานที่ต่างๆ ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนให้เจียงไห่ฟัง ด้วยเหตุนี้อวี๋หวั่นจึงรู้ว่าเจียงไห่ไม่ใช่คนเมืองหลวง เจียงไห่เงียบกว่าเจียงเสี่ยวอู่ เจียงเสี่ยวอู่พูดไปห้าประโยค เจียงเสี่ยวอู่พูดไปได้เพียงประโยคเดียว
หากเป็นเมื่อก่อน อวี๋หวั่นก็คงอดรู้สึกรำคาญไม่ได้ แต่เมื่อมีเถี่ยตั้นน้อยจอมเจื้อยแจ้วมาทำให้หูของอวี๋หวั่นไม่ได้พัก เธอจึงรู้สึกคุ้นเคยกับเจียงเสี่ยวอู่พอสมควร
สำนักบัณฑิตกั๋วจื่อเจียนอยู่ห่างจากจวนคุณชาย แต่ก็ไม่นับว่าไกล หากรถม้าวิ่งเร็วสักหน่อยจะใช้เวลาประมาณสองเค่อ แต่อวี๋หวั่นอยากซื้อชุดเขียนหนังสือให้เถี่ยตั้นน้อย จึงให้เจียงเสี่ยวอู่บังคับรถม้าไปยังถนนใหญ่อีกเส้นหนึ่ง
ขณะที่รถม้าเลี้ยวเข้าไปในตรอก ก็มีเงาสีฟ้าพุ่งเข้ามาหยุดรถม้าเอาไว้ ผู้มาเยือนถือกระบี่ยาว ดูน่าเกรงขาม ราวกับเป็นพยัคฆ์ขวางถนน ทันใดนั้นเอง เจียงไห่ซึ่งนั่งอยู่ข้างเจียงเสี่ยวอู่ก็กระโดดขึ้นกลางอากาศ กำปั้นข้างหนึ่งพุ่งเข้าใส่ศีรษะของอีกฝ่าย
อีกฝ่ายตวัดกระปี่หมายฟาดฟันกำปั้นที่พุ่งมายังตน เจียงไห่ยื่นอีกมือหนึ่งออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วอ้อมผ่านกระบี่ไปยังแขนของเขา
กำปั้นของเจียงไห่มีพลังมหาศาล เห็นได้ชัดว่าเล็งเข้าที่ศีรษะของอีกฝ่าย อีกฝ่ายยื่นมือมาสกัด ทั้งสองประมือกัน จนต่างคนต่างกระเด็นถอยหลังไปสิบกว่าก้าว
“ฮูฮูฮูฮู…ฮูหยินน้อยท่านอย่าออกมาขอรับ!” เจียงเสี่ยวอู่กลัวจนหน้าซีดเผือด ใจนึกอยากกางแขนออกมาบังตัวรถเอาไว้ น่าเสียดายที่ร่างกายไม่ยอมทำตาม จึงยื่นมือออกมาด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ ดูแล้วน่าหัวร่อยิ่งนัก
อวี๋หวั่นแง้มม่านดู
ให้ตายเถอะ อวี้จื่อกุยตามมารังควานไม่เลิกราสักที
ดูแล้วอาการบาดเจ็บของอวี้จื่อกุยไม่ได้เป็นอุปสรรคแล้ว บาดเจ็บหนักขนาดนั้น อวี๋หวั่นยังคิดว่าเขาคงไปตายที่ไหนสักแห่งแล้ว ไม่คิดเลยว่าผ่านไปเพียงไม่กี่วันเขาก็กลับมาเป็นปกติ สมแล้วที่เป็นมือกระบี่อันดับหนึ่งในใต้หล้า
แต่ว่า มือกระบี่อันดับหนึ่งก็ไม่ยักจะได้เปรียบเมื่อประมือกับสารถีรถม้าของเธอ
อวี้จื่อกุยเคลื่อนไหวได้เฉียบขาดหมายเอาชีวิต เจียงไห่ก็มิได้ด้อยกว่ากัน อวี้จื่อกุยใช้กระบี่ เจียงไห่ใช้มือเปล่า แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็สู้กันได้อย่างสูสี
อวี้จื่อกุยเห็นว่าเจียงไห่ไม่มีทางถอยง่ายๆ จึงหันไปอีกทางเพื่อหลอกล่อเขา ใช้วิชาตัวเบาพุ่งเข้าไปคว้าเจียงเสี่ยวอู่เอาไว้
“มารดามัน——”
อวี้จื่อกุยจ่อปลายประบี่เข้าที่คอของเจียงเสี่ยวอู่
“หยุดเดี๋ยวนี้!” อวี๋หวั่นเปิดม่านออก
อวี้จื่อกุยและเจียงไห่หยุดมือพร้อมกัน
อวี๋หวั่นบอกกับเจียงไห่ว่า “พาเจียงเสี่ยวอู่ออกไป กันปากตรอกเอาไว้ ถ้าข้าไม่ได้สั่ง ห้ามใครเข้ามาใกล้”
“ขอรับ” เจียงไห่ตอบรับ เขาเดินไปหยุดตรงหน้าอวี้จื่อกุยด้วยสีหน้าเย็นเยียบ ในตอนนี้อวี้จื่อกุยสามารถใช้โอกาสนี้โจมตีเขากลับได้ กระนั้นเขาก็ยังเดินเข้าไปโดยไม่ลังเล
อวี้จื่อกุยเพ่งพินิจเจียงไห่อยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็มิได้โจมตีเขาแต่อย่างใด และโยนเจียงเสี่ยวอู่ให้เขา
เจียงไห่พาร่างอ่อนระทวยไร้เรี่ยวแรงของเจียงเสี่ยวอู่ออกไปที่ปากตรอก
ในตรอกร้างผู้คน อวี๋หวั่นนั่งอยู่บนรถม้า มองไปยังอวี๋จื่อกุยซึ่งยืนอยู่ด้านนอก ห่างออกไปสิบก้าวเห็นจะได้ เธอพูดกับเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ข้าไม่ได้บอกเจ้าไปแล้วหรือว่าอย่าได้มาให้ข้าเห็นหน้าอีก?”
อวี้จื่อกุยยกกระบี่ขึ้นชี้อวี๋หวั่นพร้อมกับเดินเข้ามา
เจียงไห่กำหมัดแน่น
อวี้จื่อกุยหยุดฝีเท้าลงเมื่อเขาอยู่ห่างจากอวี๋หวั่นประมาณสามก้าว เขามองอวี๋หวั่น “ราชันสัตว์พิษอยู่ที่เจ้าใช่หรือไม่?”
ผู้ชายคนนี้รู้เข้าจนได้
อวี๋หวั่นพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ “เจ้าเอาอะไรมาบอกว่าเป็นข้า?”
อวี้จื่อกุยนัยน์ตากระตุกวูบ “เพราะเจ้ามีเลือดพลังหยินเข้มข้นอย่างไรเล่า!”
อวี๋หวั่นรู้ดีว่าวันนั้นตนถามมากเกินไป ในตอนนั้นอวี้จื่อกุยกำลังโกรธจนหน้ามืดตามัว แต่เมื่อใจเย็นลงแล้วเขาก็ตระหนักได้ว่าหมอชาวจงหยวนจะรู้เรื่องของหนอนพิษมากถึงเพียงนี้ได้อย่างไร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]