อวี้จื่อกุยรู้อยู่เต็มอกว่าวันนี้เขาคงไม่ได้ราชันสัตว์พิษคืนอย่างแน่นอน จึงมองไปยังรถม้าที่ปิดม่านไว้ “เจ้านำสิ่งที่ข้าพูดไปทบทวนให้ดี รีบโยนสิ่งที่ตนไม่อาจครอบครองได้ทิ้งไปแต่เนิ่นๆ ย่อมดีกว่า!”
อวี้จื่อกุยจากไปแล้ว
เจียงไห่ยังคงหยุดอยู่ที่เดิม รอให้อวี๋หวั่นถาม
บ่าวที่ซื้อมาจากหอซือเยวี่ยกลับมีวิทยายุทธ์ล้ำเลิศเพียงนี้ เป็นใครก็ต้องเกิดความสงสัย
อย่างไรก็ดี สิ่งที่เหนือความคาดหมายก็คืออวี๋หวั่นไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ให้เขาไปพาเจียงเสี่ยวอู่กลับมา ประเดี๋ยวจะต้องไปสำนักบัณฑิตต่อ
เจียงไห่มองไปยังม่านของรถม้าด้วยความประหลาดใจ
อวี๋หวั่นเอ่ยขึ้นอย่างไม่รีบร้อน “เมื่อครู่เจ้าใช้พลังทั้งหมดหรือไม่?”
เจียงไห่ชะงักไป แล้วรีบตอบว่า “ไม่ขอรับ ใช้วิทยายุทธ์ไปเพียงสามส่วน”
อวี้จื่อกุยกลับใช้พลังไปเจ็ดส่วน เมื่อครู่ที่เห็นว่าทั้งสองฝีมือสูสีกัน ก็เห็นได้ชัดว่าแท้จริงแล้ววิทยายุทธ์ของเจียงไห่เหนือกว่าอวี้จื่อกุยมาก ยอดฝีมือเช่นนี้ ขายตัวเองที่หอซือเยวี่ยมาเป็นแรงงาน ใช้คนได้ไม่เหมาะกับงานจริงๆ
“ฮูหยินน้อย…” ขณะที่เจียงไห่เอ่ยปากพูดบางอย่าง อวี๋หวั่นก็พูดขึ้นว่า “ข้าไม่สนอดีตของเจ้า ข้าสนแค่ว่าเจ้าซื่อสัตย์ต่อข้าหรือไม่”
“เจียงไห่ซื่อสัตย์” เขาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เจียงไห่สาบานว่าจะภักดีต่อฮูหยิน”
เขาพูดว่า ‘ฮูหยิน’ ไม่ใช่ ‘ฮูหยินน้อย’ ต่างกันเพียงคำเดียว แต่ความหมายต่างกันราวฟ้ากับดิน
……
หลังจากที่อวี๋หวั่นนำขนมอิงเถากรอบหนึ่งจานและอิงเถาอีกหนึ่งตะกร้าไปส่งให้ถึงมืออวี๋ซง เธอก็กลับจวน
อวี๋หวั่นไปยังห้องหนังสือเพื่อบอกกับเยี่ยนจิ่วเฉาว่าเธอพบกับอวี้จื่อกุย อิ่งสือซันและอิ่งลิ่วก็อยู่ตรงนั้นด้วย
เธอมองสีหน้าพวกเขาอย่างพินิจพิจารณา “เดี๋ยวนะ พวกท่านก็รู้หรือว่ามันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของอาณาจักรหนานจ้าว?” งั้นก็หมายความว่าอวี้จื่อกุยไม่ได้โกหกจริงๆ
รู้สิ เอ๊ะ…เจ้าไม่รู้หรือ? อิ่งลิ่วและอิ่งสือซันมองอวี๋หวั่น อวี๋หวั่นรู้แล้วว่าตนครอบครองราชันสัตว์พิษ พวกเขาก็ยังคิดเสียอีกว่านางรู้มากกว่าพวกเขา
อวี๋หวั่นกุมขมับ ดูๆๆๆ ที่ข้อมูลคาดเคลื่อนก็เพราะอย่างนี้แหละ
ไม่ทันระวังก็ได้ของขวัญชิ้นใหญ่มาอยู่ในมือ เธอไม่รู้ว่าควรพูดว่าอย่างไรดี ส่วนเรื่องของราชทูตจากหนานจ้าว อวี๋หวั่นไม่ได้ใส่ใจเท่าไร ขอเพียงอวี้จื่อกุยไม่พูดออกไป ใครจะรู้ว่าราชันสัตว์พิษอยู่ที่เธอ?
อวี๋หวั่นกลับห้องไป
ทั้งสามคนในห้องหนังสือจึงเผยสีหน้าเหลือเชื่อออกมา
อิ่งลิ่วตกตะลึงจนอ้าปากค้าง “คุณชาย…ถ้าสิ่งที่อวี้จื่อกุยพูดไม่ผิด สิ่งศักดิ์สิทธิ์คือสินสอดที่เผ่าปีศาจมอบให้ตี้จีองค์โต เช่นนั้น…เจ้าสาวจากเผ่าปีศาจที่หนีงานแต่งมาไม่ใช่…ฮูหยินนางเป็น…ไอ้หยานี่มัน…”
“ใช่ๆๆ ใช่แล้ว!” อิ่งสือซันรู้ว่าอิ่งลิ่วจะพูดอะไร จึงรีบตอบเขาทันที
อิ่งลิ่วรู้สึกราวกับตนจะเป็นลมล้มพับไป ทำหน้าที่สืบข่าวมาหลายปี แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเจอเรื่องที่น่าตกใจเท่านี้มาก่อน เขา…เขาไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆ
ปลายนิ้วของเยี่ยนจิ่วเฉาเคาะโต๊ะเบาๆ หนานจ้าวยอมใช้พระธิดาคนหนึ่งแลกเพื่อให้ได้มันมา แต่ของนั้นกลับจับพลัดจับผลูมาอยู่ที่อวี๋หวั่น ไม่รู้ว่าควรเรียกว่าเป็นความบังเอิญ…หรือบัญชาสวรรค์
“ราชทูตของอาณาจักรหนานจ้าวมีใครบ้าง?” เยี่ยนจิ่วเฉาถาม
อิ่งลิ่วตอบ “ได้ยินว่ามีราชเลขาธิการของหนานจ้าว พาฮูหยินมาด้วย ราชทูตที่เหลือยังไม่ได้ข่าวมาขอรับ”
“ไปสืบมา” เยี่ยนจิ่วเฉาสั่ง
“ขอรับ” อิ่งลิ่วตอบ
เยี่ยนจิ่วเฉานั่งอยู่ในห้องหนังสืออีกสักพัก เพื่อขบคิดเกี่ยวกับข้อมูลที่ได้รับมา กว่าจะกลับถึงห้องก็มืดแล้ว อวี๋หวั่นรอกินข้าว สุดท้ายก็ผล็อยหลับไปกับโต๊ะ
เยี่ยนจิ่วเฉาดันเก้าอี้ติดล้อของเขาไป เขาคิดว่าจะอุ้มอวี๋หวั่นไปนอนบนเตียง แต่เมื่อเข้าจับขาของเธอ ก็พบว่าเธอเหงื่อโทรมกาย เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นบนหน้าผาก คิ้วขมวดแน่น
ไม่สบายหรือ หรือว่า…
เยี่ยนจิ่วเฉาโอบอวี๋หวั่นเอาไว้ มือยื่นออกไปแตะหน้าผาก อวี๋หวั่นตัวสั่น ทันใดนั้นเองก็ลืมตาขึ้น
อวี๋หวั่นหอบเอาอากาศเข้าปอด ในดวงตายังคงหลงเหลือความตื่นตระหนกและหวาดกลัว เมื่อเห็นว่าตนอยู่ในอ้อมแขนของเยี่ยนจิ่วเฉา สีหน้าก็ผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย
“ฝันร้ายหรือ?” เยี่ยนจิ่วเฉาถาม
อวี๋หวั่นพยักหน้า
เยี่ยนจิ่วเฉาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผากให้เธอ “ได้ยินว่าคณะทูตจากหนานจ้าวจะมา กลัวเลยหรือ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]