เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เช้ามืดแล้ว และเป็นไปดังคาด ที่นอนข้างเธอว่างเปล่า
“คุณชายมีธุระ ออกไปแล้วเจ้าค่ะ” หลีเอ๋อร์เลิกม่านพลางเอ่ยขึ้น
ราชทูตจากหนานจ้าวเดินทางมา แม้จะเห็นว่าเยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้ไปออกหน้า แต่เขาก็เตรียมการป้องกันเอาไว้ลับๆ อวี๋หวั่นพลิกตัวไปอีกด้านหนึ่ง? เด็กทั้งสามก็ไม่อยู่แล้ว?
หลีเอ๋อร์เข้าใจในทันที จึงรีบบอกว่า “คุณชายกลัวว่าคุณชายน้อยจะตื่นมาทำเสียงดังจนฮูหยินตื่น จึงให้แม่นมมาอุ้มคุณชายน้อยกลับห้องไปแล้วเจ้าค่ะ”
เป็นอีกครั้งที่อวี๋หวั่นรู้สึกอบอุ่นหัวใจเพราะสามีของตน แม้ปากจะไม่ค่อยพูดคำดีๆ ออกมา แต่การกระทำล้วนแต่เปี่ยมไปด้วยความเอาใจใส่
เมื่อคืนถูกขัดจังหวะ ยังคิดว่าเขาจะโกรธเด็กๆ อยู่ เห็นทีเธอคงจะคิดมากไปเอง เขาเป็นบิดาของพวกเขา เขารักพวกเขาไม่น้อยกว่าเธอ จะไปโกรธได้อย่างไร?
หลีเอ๋อร์พูดต่อ “อ้อ ฮูหยินเจ้าคะ คุณชายยังบอกอีกว่าอิงเถาที่จวนสุกอีกแล้ว สามารถนำไปให้บ้านท่านแม่ฮูหยิน และจะพาคุณชายน้อยไปส่งด้วย ท่านยายกับท่านตาของคุณชายน้อยต้องคิดถึงพวกเขาเป็นแน่ ให้คุณชายน้อยไปอยู่ที่หมู่บ้านสักพักเจ้าค่ะ”
ประโยคหน้าฟังดูเป็นเรื่องหนึ่ง ประโยคหลังกลับฟังดูแปลกๆ ท่านพ่อบังเกิดเกล้าน่ะหรือ? อยู่ๆ ก็จะส่งลูกชายไปไว้ที่ชนบท?
“ได้บอกหรือเปล่าว่าจะออกกี่โมง?” อวี๋หวั่นถาม
หลีเอ๋อร์หยิบเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้อวี๋หวั่น “เห็นบอกว่าจะรอให้องครักษ์อิ่งกลับมาก่อนเจ้าค่ะ องครักษ์อิ่งออกไปพร้อมกับคุณชายเจ้าค่ะ”
อย่างนั้นก็หมายความว่าจะพาเด็กๆ ไปตอนเย็น ให้อิ่งสือซันเดินทางตอนกลางคืน ผู้ชายคนนี้จะรีบร้อนอะไรขนาดนี้นะ…
เมื่ออวี๋หวั่นสวมเสื้อผ้าเสร็จ จื่อซูก็เข้ามาพอดี ฝางมามาจะเดินทางกลับบ้าน อวี๋หวั่นจึงให้จื่อซูศึกษาเรื่องต่างๆ ในจวนกับฝางมามา จื่อซูจึงมารายงานความคืบหน้า
อวี๋หวั่นคิดว่าจื่อซูไม่มีความจำเป็นต้องรายงานทุกวัน แต่จื่อซูคงทำอย่างครั้นตนอยู่ในจวนและต้องการให้สาวใช้ของตนเป็น
“…วั่นมามาบอกว่าเดิมทีบัญชีของเรือนชิงเฟิงรวมกับส่วนกลาง แต่ในตอนนี้คุณชายและฮูหยินน้อยยังไม่ได้เข้ามาอยู่ วั่นมามาหมายถึงเรือนชิงเฟิงสามารถแยกบัญชี…”
จื่อซูค่อยๆ พูดไปเรื่อยๆ อวี๋หวั่นก็ตั้งใจฟังอย่างใจเย็น
“ฮูหยินมีคำแนะนำหรือไม่เจ้าคะ?” จื่อซูรายงานจบ ก็ถามความเห็นของอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นส่ายหน้า “ไม่มี ทำตามที่ฝางมามาบอกเถอะ”
“เจ้าค่ะ” จื่อซูตอบรับ กำลังจะเดินออกไป
ทันใดนั้นอวี๋หวั่นก็เรียกนางเอาไว้ “อีกเรื่องหนึ่ง เสื้อผ้าของพวกเจ้าที่ก่อนหน้านี้มีฤดูละสี่ชุด เปลี่ยนเป็นฤดูละแปดชุด” ก่อนหน้านี้ฝางมามาและเหล่าบุรุษไม่สนใจเสื้อผ้าอาภรณ์ บัดนี้มีสาวใช้เพิ่มมาอีกหลายคน ต้องแต่งตัวให้สวยๆ งามๆ จึงจะจิตใจผ่องแผ้ว
“เจ้าค่ะ” ผู้หญิงล้วนแต่ชอบเสื้อผ้าใหม่ๆ จื่อซูก็มิใช่ข้อยกเว้น คำว่า ‘เจ้าค่ะ’ ของนาง เห็นได้ชัดว่ากำลังดีใจ
ยังมีเวลาก่อนเริ่มเรียน อวี๋หวั่นนั่งอยู่ในห้องครู่หนึ่ง เมื่อคิดว่าเด็กๆ คงตื่นแล้ว อวี๋หวั่นจึงเดินไปยังห้องของพวกเขา
มีเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากดังมาจากในห้อง ทั้งยังมีเสียงเด็กๆ กระโดดบนเตียงเสียงดังปึงปังด้วยความตื่นเต้นมา
อวี๋หวั่นเพียงได้ยินเสียงของพวกเขา มุมปากก็ยกขึ้นทันที
อวี๋หวั่นเดินไปยังประตูด้วยเสียงแผ่วเบา ขณะที่กำลังจะก้าวข้ามธรณีประตูก็เห็นซูมู่ยืนอยู่ข้างเตียง ทั้งสามคนยกมือขึ้นปิดใบหน้าน้อยๆ จ้องมองซูมู่ หันหลังอย่างขวยเขิน ชั่วประเดี๋ยวหนึ่งก็หันหน้ากลับมามองซูมู่
ท่าทางน่ารักซุกซนเช่นนี้ ทำให้คนทั้งห้องอดหัวเราะออกมาไม่ได้
อวี๋หวั่นมองไปยังซูมู่ ไม่รู้ว่าทำไม เธอถึงรู้สึกยิ้มไม่ออก
อวี๋หวั่นกินอาหารเช้ากับเด็กน้อยทั้งสาม ก่อนหน้านี้พวกเขาจะติดเธอแจ ไม่ยอมให้ไปเรียนกับวั่นมามา หรือมักจะเกาะแข้งขาเธอ ร้องจะตามไปเรียนด้วย แต่วันนี้กลับกินข้าวแล้ววางชามและตะเกียบลงอย่างรู้ความ จากนั้นก็วิ่งเตาะแตะออกไปเล่นที่ลานบ้าน
ที่แท้ก็เป็นเพราะซูมู่ทำชิงช้าสามตัว ที่นั่งทำจากหนัง ผูกกับเชือก และยังพันรอบตัวพวกเขาด้วย ต่อให้จับเชือกไม่แน่น พวกเขาก็จะไม่ถูกเหวี่ยงหลุดลงจากชิงช้า
เด็กน้อยทั้งสามโบยบินขึ้นบนฟ้า แล้วค่อยๆ กลับลงมาบนพื้น พวกเขาหัวเราะเสียงหมูออกมา
บรรดาบ่าวต่างก็มีความสุข เรือนชิงเฟิงไม่เคยครึกครื้นถึงเพียงนี้มาก่อน
อวี๋หวั่นเบนสายตากลับมา พยายามระงับความรู้สึกเศร้าที่ถาโถมเข้ามาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เธอถอนหายใจแล้วเดินไปหลันฟางเก๋อ
ทว่ายังไม่ทันได้เริ่มเรียน ก็มีคนมารายงานว่าแม่นางชุยมาหา
แม่นางชุยนำคำพูดของฮองเฮามาแจ้ง “…ฮองเฮากำลังจัดการงานแต่งของเฉิงอ๋องและองค์หญิงซยงหนู ฮองเฮาทรงบอกว่านางอายุมากแล้ว ตามรสนิยมของคนหนุ่มสาวไม่ทัน จึงขอเชิญฮูหยินน้อยเข้าวังไปช่วยออกความเห็น…หากคุณชายน้อยไม่ติดอะไรก็เข้าวังไปเดินเล่นสักหน่อย ฮองเฮาทรงยังไม่เคยพบหน้าพวกเขา จึงทรงอยากพบ”
อวี๋หวั่นรู้ว่าฮองเฮาเห็นจวนคุณชายเป็นมิตร ก่อนหน้านี้ก็มีสวี่เสียนเฟย จากนั้นก็คณะราชทูตหนานจ้าว ทั้งศึกนอกและศึกใน พวกเขาล้วนต้องพึ่งฮองเฮา
เด็กทั้งสามเตาะแตะไปนั่งบนเก้าอี้อย่างว่าง่าย
ฮองเฮาให้แม่นางชุยพาพวกเขาไปเดินเล่น วันนี้องค์หญิงตัวน้อยจากจวนองค์ชายใหญ่ก็มาที่นี่ องค์หญิงโตกว่าเด็กน้อยทั้งสามสองปี คงจะเป็นเพื่อนเล่นกันได้
หลังจากนั้นฮองเฮาก็ตรัสกับอวี๋หวั่นเรื่องงานแต่ง “ข้าคิดไว้ว่าจะตั้งเวทีการแสดงที่ตำหนักเฟยหลวน คณะการแสดงก็เชิญมาเป็นพิเศษเพื่อแขกจากหนานจ้าว ฝ่าบาททรงมีดำริว่าอาณาจักรหนานจ้าวเดินทางมาในครั้งนี้ก็เพื่อสานสัมพันธ์อันดีกับต้าโจว พวกเราไม่อาจเพิกเฉย การแสดงแต่ละชุดจะอ้างอิงตามความชอบของคณะราชทูตหนานจ้าว เจ้าช่วยข้าเลือกหน่อย”
เธอจะไปรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร? ไปถามทูตที่หงหลูซื่อไม่ดีกว่าหรือ?
ฮองเฮาแตะมือของอวี๋หวั่นเบาๆ แล้วยิ้มอย่างอบอุ่น “ข้าจะพาเจ้าไปฟัง”
คณะการแสดงที่มาเป็นคณะการแสดงของราษฎรทั่วไป อวี๋หวั่นไม่เคยดูการแสดงสมัยโบราณ เธอรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง จึงลุกขึ้นแล้วเดินตามฮองเฮาไป
“เรียกคุณชายน้อยและองค์หญิงมาด้วยเถิด” ฮองเฮาบอกกับแม่นางชุย
“เพคะ” แม่นางชุยอุ้มองค์หญิง ส่วนฝูหลิงอุ้มเด็กน้อยทั้งสาม
เมื่อเห็นร่างกำยำสูงใหญ่ของฝูหลิง คิ้วของฮองเฮาก็กระตุกเล็กน้อย แต่นางก็มิได้กระโตกกระตากแต่อย่างใด นางจูงมืออวี๋หวั่นเดินเข้าไปยังโรงละครของตำหนักเจาหยาง
เวทีตั้งเกือบเสร็จแล้ว นักแสดงต่างก็กำลังเตรียมตัวอยู่ด้านหลังเวที หัวหน้าคณะแสดงเดินมาคำนับฮองเฮา
ฮองเฮาโบกมือ แล้วพาอวี๋หวั่นไปนั่ง
องค์หญิงนั่งข้างฮองเฮา เด็กน้อยทั้งสามนั่งข้างอวี๋หวั่น พวกเขาไม่เคยชมการแสดงมาก่อน จึงจับจ้องบนเวทีไม่ยอมละสายตา การแสดงชุดแรกเกี่ยวกับการต่อสู้ มีเสียงกลองรัวราวกับเสียงฟ้าฝ่า จากนั้นก็มีคนชุดดำตีลังกาออกมาจากหลังเวที
‘ฟ้าฝ่า’ และ ‘คนชุดดำ’ เด็กน้อยทั้งสามตกใจกลัวในทันใด อวี๋หวั่นรู้ว่าเกิดเรื่องไม่ดีแล้ว จึงรีบรุดไปหาลูกๆ แต่กลับพบว่าซูมู่เข้ามาอยู่ตรงหน้าของพวกเขาแล้ว
เด็กทั้งสามโผเข้าหาซูมู่ กอดคอของนางไว้แน่น
อวี๋หวั่นยืนค้างอยู่เช่นนั้น
……………………………………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]