แม้ว่าจะเป็นแม่ของเด็กน้อยสามคน แต่นางก็เพิ่งอายุสิบเจ็ด มืออันบอบบางต้องแบกรับความรับผิดชอบที่ไม่พึงได้รับ ทำให้บ่อยครั้งผู้คนมักจะหลงลืมไปว่านางเป็นเด็กสาวคนหนึ่งเท่านั้น
ไม่มีผู้ใดเคยถามนางว่าในตอนที่คลอดลูกเจ็บปวดหรือไม่ เลี้ยงลูกยากหรือไม่ แต่งงานแล้วรู้สึกเปล่าเปลี่ยวหรือไม่ นั่นคงเป็นเพราะว่านางเป็นสตรี เพราะฉะนั้นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นบัญชาสวรรค์
เยี่ยนจิ่วเฉาเข็นเก้าอี้ไปตรงหน้าของอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นรู้ว่าเขามาแล้ว เธอเหลือบตาไปมอง แต่ก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้น เอาแต่มองปลายเท้าของตนเองอยู่อย่างนั้น
เก้าอี้มีล้อของเยี่ยนจิ่วเฉาเคลื่อนไปหยุดที่เบื้องหน้าของเธอ เขามองเธอ ทว่ามิได้รีบร้อนพูดอะไร
แต่แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดออกมา ผู้ชายคนนี้เพียงมายืนอยู่ที่นี่ ตรงหน้าเธอ ขอบตาของอวี๋หวั่นก็ค่อยๆ ร้อนผ่าวขึ้นมา
“เยี่ยนจิ่วเฉา…”
ทันทีที่เธอเอ่ยปากพูด น้ำเสียงของเธอก็สั่น ความโศกเศร้าที่หลายวันมานี้ไม่อาจแสดงให้ผู้ใดเห็น บัดนี้กลับพรั่งพรูออกมาราวกับสายน้ำ เอ่อล้นท่วมร่างของเธอ
เยี่ยนจิ่วเฉายื่นมือไป ค่อยๆ ดึงเธอเข้ามาในอ้อมอก แล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ข้าไปเพียงไม่กี่วัน เจ้าก็เป็นเช่นนี้เสียแล้ว อวี๋อาหวั่น ถ้าวันใดข้าไม่อยู่แล้ว เจ้าจะทำอย่างไร?”
……
อวี๋หวั่นร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของเขาครู่หนึ่ง ดวงตาของเธอบวม จมูกแดง ทว่าสภาพจิตใจของเธอดีขึ้นมาก ในตอนนี้เองเธอสังเกตเห็นว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาใกล้ชิดกันมากขึ้น เมื่อก่อนแม้แต่จะจับมือเขาตอนกลางวันยังทำไม่ได้
อวี๋หวั่นยังคงสะอึกสะอื้นเล็กน้อย “ทำเรื่องอย่างว่าตอนกลางวันแสกๆ…ท่านไม่กลัวแล้วหรือ?”
“เงียบ!”
อวี๋หวั่นไม่ตอบ สองมือจับแขนเสื้อของเยี่ยนจิ่วเฉาขึ้นมาเช็ดน้ำตา ขณะที่กำลังจะเช็ดน้ำมูกนั้น
“ห้ามเช็ดน้ำมูก!”
อวี๋หวั่นวางแขนเสื้อเขาลงอย่างขุ่นเคืองใจ
เยี่ยนจิ่วเฉาหยิบผ้าเช็ดหน้าสะอาดขึ้นมาผืนหนึ่ง หมายจะเช็ดหน้าให้อวี๋หวั่น แต่อวี๋หวั่นหยิบผ้าไป
“ลุกขึ้น” เยี่ยนจิ่วเฉาบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ในเมื่อไม่เป็นไรแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมานั่งโอบกอดกันอีก กลางวันแสกๆ มะ…ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย
อวี๋หวั่นไม่ลุก
“อวี๋อาหวั่น!”
เยี่ยนจิ่วเฉาเรียกเธอด้วยน้ำเสียงดุดัน อวี๋หวั่นไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองแม้แต่น้อย เมื่อเยี่ยนจิ่วเฉาก้มลงไปมอง ก็พบว่าอวี๋หวั่นหลับไปเสียแล้ว
คิ้วซึ่งขมวดอยู่ของเขาพลันคลายลง เยี่ยนจิ่วเฉาค่อยๆ จับเธอวางลงบนเตียง ถอดรองเท้าและถุงเท้า จากนั้นก็ดึงผ้าห่มมาห่มให้เธอ
ลมหายใจของอวี๋หวั่นสม่ำเสมอ เธอกำลังหลับสบาย
เยี่ยนจิ่วเฉามองเธอเงียบๆ ทันใดนั้นเขาก็ค้อมตัวลง จุมพิตบนหน้าผากของอวี๋หวั่นอย่างแผ่วเบา
ในตอนนั้นเอง ใบหูของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
……
เยี่ยนจิ่วเฉาต้องการรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในจวน แน่นอนว่าเขาย่อมมีวิธี เมื่อได้ฟังสิ่งที่อิ่งลิ่วรายงานจนจบ เยี่ยนจิ่วเฉาก็หน้าดำคร่ำเครียดขึ้นมา
เขาไม่รู้เลยว่า ตั้งแต่เมื่อไรที่ฮูหยินจวนคุณชายจะถึงกับโมโหสาวใช้ได้
ทั้งยังมีเจ้าลิงน้อยทั้งสาม เกรงว่าพวกเขาก็คงดื้อเองกระมัง
ไม่มีใครทำให้เธอเสียใจได้ เด็กทั้งสามก็ทำไม่ได้
ผ่านไปครึ่งเค่อ เยี่ยนจิ่วเฉาก็นั่งลงบนเก้าอี้ในเรือนชิงเฟิง เหล่าแม่นมต่างช่วยกันยกชามโจ๊กร้อนๆ ออกไป เมื่อเห็นเยี่ยนจิ่วเฉา พวกนางก็รีบคำนับ
“จะไปไหนกัน?” เยี่ยนจิ่วเฉามองไปยังชามโจ๊กในมือของทั้งสามพลางเอ่ยถาม
นางหลี่ซึ่งอาวุโสที่สุดในบรรดาแม่นมสามคนก้าวขึ้นมาด้านหน้า ยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวว่า “เรียนคุณชาย ไปเรือนจู๋เยวี่ย คุณชายน้อยไม่ยอมกินข้าวเจ้าค่ะ”
เยี่ยนจิ่วเฉาถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “กินข้าวไยต้องไปถึงเรือนจู๋เยวี่ยด้วย?”
นางหลี่ยิ้มแดกดัน “คุณชายน้อย…ไม่กินข้าว ต้องให้แม่นางซูป้อนเจ้าค่ะ”
เยี่ยนจิ่วเฉากับอิ่งสือซันมองหน้ากัน อิ่งสือซันก้าวออกไป อีกครู่หนึ่งก็กลับมาพร้อมกับเด็กน้อยที่แยกเขี้ยวยิงฟันใส่
“วางลง” เยี่ยนจิ่วเฉาบอก
อิ่งสือซันวางเด็กน้อยทั้งสามลง
เยี่ยนจิ่วเฉาสั่งให้แม่นมออกไปก่อน เก้าอี้และโจ๊กล้วนแต่อยู่ข้างเขา เยี่ยนจิ่วเฉาพูดด้วยน้ำเสียงไม่บังคับแต่ก็มิได้ใจดี “กินข้าว”
เด็กทั้งสามไม่กิน
เยี่ยนจิ่วเฉาจึงขู่ว่า “กินข้าว หรือจะกินกำปั้น?”
…กินข้าววว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]