น้ำหนักเกินกว่าจะรับไหวพุ่งเข้าหาอวี๋หวั่นจนเธอรู้สึกราวกับจะขาดใจตาย เธอเกือบจะโอบเด็กน้อยทั้งสามไม่ได้ บนใบหน้าเต็มไปด้วยความปวดใจ
หลายวันที่แม่ไม่อยู่ พวกเจ้าต้องเผชิญกับอะไรบ้างนะ…
ในตอนนี้อวี๋หวั่นรู้แล้วว่าพวกเขาต้องเผชิญกับอะไร
“ต้าเป่า เอ้อร์เป่า เสี่ยวเป่า มานี่เร็ว”
เป็นเสียงของท่านแม่
เจ้าตัวยังไม่มา ทว่ากลิ่นหอมกลับมาถึงก่อน เป็นกลิ่นขนมซึ่งทำจากงา อวี๋หวั่นรู้สึกว่าตนน้ำลายสอ เมื่อหันหลังไป ก็พบว่าในมือของนางเจียงกำลังถือน่องเป็ดมันเลื่อมมาหนึ่งจาน น่องเป็ดทุกน่องทอดจนกรอบเป็นสีเหลือง ด้านนอกคลุกน้ำผึ้ง โรยด้วยงา ดูคล้ายกับเป็นชุดอาหารของผู้ใหญ่ ไม่รู้ว่าจะกินกันหมดไหม…
อวี๋หวั่นยังไม่ทันพูดจบ เด็กน้อยในอ้อมแขนก็วิ่งออกไป แล้วเขย่งขาหยิบน่องเป็ดในจาน
อวี๋หวั่นมุมปากกระตุก กิจการกำลังรุ่งเรือง คงไม่ได้เพิ่มมื้ออาหารหรอกใช่ไหม…
เด็กทั้งสามส่งน่องไก่ให้อวี๋หวั่น ให้อวี๋หวั่นกินก่อน อวี๋หวั่นมองดูมืออวบอ้วนของพวกเขา ในใจก็บังเกิดความรู้สึกซับซ้อน
“อร่อยไหม?” อวี๋หวั่นถาม
ทั้งสาม “ซู้ด~”
อร่อย!
อวี๋หวั่น “เช่นนั้นพวกเจ้าก็กินเถอะ”
พวกเขามองสายตาของท่านแม่ หากพวกเจ้ากล้ากินแม้แต่คำเดียว พวก เจ้า โดน แน่!
เมื่อไม่สามารถถอดรหัสจากสายตาของท่านแม่ได้ ทั้งสามก็กัดน่องเป็ดเข้าไปคำโต
อวี๋หวั่น “…”
อวี๋หวั่นหันไปมองนางเจียงราวกับกำลังพร่ำบ่นนาง “ท่านแม่”
นางเจียงทำเป็นมองท้องฟ้า
อวี๋หวั่น “…” อีกครั้ง
ป้าสะใภ้ใหญ่ไปโรงงาน เรียกลุงใหญ่และอวี๋เฟิงให้กลับมา แม้ทุกวันนี้จะไม่ต้องทำไร่ไถนา แต่อวี๋เฟิงก็ต้องไปส่งของทั่วทุกสารทิศ จนผิวคล้ำกว่าแต่ก่อน ทว่าผิวสีข้าวฟ่างนี้ขับให้เขาดูมีเสน่ห์กว่าเดิมมาก
ขาของลุงใหญ่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก เขาสามารถเดินโดยไม่ใช้ไม้เท้าได้ครึ่งหมู่บ้าน เพียงแต่ยังคงช้าอยู่บ้าง กระนั้นเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ที่เขาเดินกะโผลกกะเผลก เพียงเท่านี้เขาก็พอใจแล้ว
“ท่านลุงใหญ่ พี่ใหญ่!” อวี๋หวั่นเดินไปหาทั้งสองด้วยรอยยิ้ม
ระหว่างทาง ป้าสะใภ้ใหญ่ได้เล่าให้ทั้งสองฟังว่าอวี๋หวั่นกลับมา แต่ดูเหมือนว่าอวี๋หวั่นจะจำเด็กอ้วนทั้งสามไม่ได้ ทั้งสองก็แทบจะจำอวี๋หวั่นไม่ได้เช่นกัน อวี๋หวั่นสวมชุดที่แม่นางเมิ่งตัดให้ อาภรณ์สีฟ้าทะเลสาบแขนกว้างมีแถบผ้าคาดเอว เสื้อคลุมสีขาว ดูสะอาดบริสุทธิ์ อ่อนโยนราวกับสายน้ำ บนศีรษะของเธอไม่ได้มีเครื่องประดับมากเกินงาม มีเพียงเตี้ยนหยกขาวลายดอกไม้ แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้เธอดูงดงามและสูงส่งเหนือปุถุชน
ทั้งสองตื่นตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพึมพำว่าอาหวั่น
“ท่านลุงใหญ่กับพี่ใหญ่สบายดีหรือไม่?” อวี๋หวั่นพยุงลุงใหญ่เข้าไปในบ้าน
ลุงใหญ่พยักหน้าหงึกๆ “ดี ดี! ข้าสบายดี!”
อวี๋หวั่นมองไปยังใบหน้าอิ่มเอิบของพวกเขาก็นึกในใจว่าป้าสะใภ้ใหญ่ไม่ได้พูดกับเธออย่างนั้นเพียงเพราะความเกรงใจ คนที่บ้านสบายดีจริงๆ เมื่อเห็นอย่างนี้แล้วอวี๋หวั่นก็วางใจ เธอรินชาให้อวี๋เฟิงซึ่งเหงื่อโทรมกาย “พี่ใหญ่เหนื่อยแย่เลย”
อวี๋เฟิงมองไปยังชาในมือของตน อยู่ๆ เขาก็รู้สึกราวกับน้องสาวยังไม่ได้ออกเรือนไป
ที่จริงแล้วแม้ว่าคนในครอบครัวจะไม่พูด แต่ในใจของพวกเขาก็ยังไม่เคยชิน ทุกคนต่างก็คิดถึงอวี๋หวั่น
“พี่รองเจ้าเล่า?” ป้าสะใภ้ใหญ่มองออกไปด้านนอก นางไม่เห็นลูกชายคนรอง แต่กลับเห็น…สาวใช้และสารถีซึ่งไม่คุ้นหน้า
อวี๋หวั่นยิ้มมุมปากน้อยๆ พร้อมกับตอบว่า “พี่รองใกล้สอบ เขาบอกว่าจะตั้งใจอ่านหนังสือ สอบเสร็จจึงจะกลับ”
นั่นเป็นคำพูดของอวี๋ซง หลังจากเรื่องวิวาทในครั้งก่อน เขาก็ไม่ได้มีเรื่องกับใครอีก หลิ่วเจี้ยนเซิงพยายามหาเรื่องเขาหลายครั้ง แต่อวี๋ซงก็ไม่สนใจ ภายหลังหลิ่วเจี้ยนเซิงจึงรู้สึกว่าน่าเบื่อและเลิกตอแยเขาไปเอง
ป้าสะใภ้ใหญ่ทั้งรู้สึกโมโหและขบขันในเวลาเดียวกัน เด็กคนนี้เป็นเด็กที่ดื้อรั้นที่สุดในหมู่บ้าน มีวันที่เขานั่งเงียบๆ อ่านหนังสือจริงๆ…
“เขาสร้างความวุ่นวายให้เจ้าไม่น้อยกระมัง?” ป้าสะใภ้ใหญ่ถาม
“ไม่เลย” อวี๋หวั่นเล่าเรื่องที่อวี๋ซงไปเรียนในสำนักบัณฑิตให้ฟังแล้ว “…พี่รองพักอยู่ในสำนักบัณฑิต กลับจวนไม่บ่อยนัก”
เธอพูดกว่ากลับจวน ไม่ได้พูดว่าไปจวนคุณชาย
อวี๋หวั่นไม่เคยคิดว่าพี่รองเป็นเพียงแขก เยี่ยนจิ่วเฉาก็เช่นกัน
คนสกุลอวี๋ไม่รู้ว่าสำนักบัณฑิตคืออะไร อวี๋หวั่นจึงอธิบายให้พวกเขาฟังครั้งหนึ่ง ราชวงศ์นี้ตั้งสำนักการศึกษาขั้นสูงสุด รวมรวมบัณฑิตที่เก่งกาจที่สุด ไม่เป็นรองผู้ใด
คนสกุลอวี๋ต่างตะลึงงันไปตามๆ กัน
พวกเขารู้เพียงว่าอวี๋ซงตามหลานเขยไปเรียนหนังสือในเมืองหลวง เดิมทีคิดว่าสถานที่นั้นคล้ายกับสำนักการศึกษาในตำบล หรือไม่ก็เพียงเชิญอาจารย์มาสอนในจวน ที่แท้ก็ส่งไปยังสถานที่ที่ยอดเยี่ยมถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
“ชะ…ใช้เงินไปมากโขกระมัง?” ป้าสะใภ้ใหญ่พูดตะกุกตะกัก
เงินเป็นเรื่องรอง ในเมืองหลวงมีแต่คนร่ำรวย แต่การยัดคนเข้าไปในสำนักบัณฑิตนั้นทำไม่ได้ด้วยเงินเพียงอย่างเดียว โชคดีที่เธอแต่งงานกับเยี่ยนจิ่วเฉา ถ้าหากเธอแต่งงานกับจ้าวเหิง ไหนเลยจะมีปัญญาส่งพี่รองเรียนหนังสือ? อาจเป็นเพราะไม่มีเงินเก็บ สกุลจ้าวจึงต้องพึ่งพาเพียงจ้าวเหิง คนอื่นๆ จึงหลีกทางให้เขา
แน่นอนว่าว่าในตอนที่เธอแต่งงานกับเขา เธอไม่ได้คิดว่าเธอจะได้ผลประโยชน์จากเขามากเท่าไร เธอบอกได้เพียงว่าเขาทำให้เธอมีความสุขอย่างไม่เคยคาดคิด ผู้ชายคนนี้ให้เธอมากกว่าที่เธอเคยจินตนาการเอาไว้
“ใช้ไปไม่มาก” อวี๋หวั่นบอก
ป้าสะใภ้ใหญ่ไม่เชื่อ ครั้นจ้าวเหิงเรียนหนังสือในตำบล เขาต้องใช้เงินเดือนละสองตำลึง ครึ่งหนึ่งเป็นค่าเรียน อีกครึ่งหนึ่งเป็นค่าใช้จ่าย ได้ยินว่ากระดาษและน้ำหมึกนั้นไม่ใช่ถูก เงินมากมายถึงเพียงนั้นยังต้องกระเหม็ดกระแหม่ ไม่รู้จริงๆ ว่าตั้งแต่ลูกชายเข้าเมืองหลวงไป เขาใช้เงินไปเท่าไรแล้ว
ป้าสะใภ้ใหญ่ดึงอวี๋หวั่นเข้าไปในห้อง เปิดกระเป๋าเงินหมายส่งให้เงินอวี๋หวั่น อวี๋หวั่นหยุดนางไว้
อวี๋หวั่นพูดว่า “ป้าสะใภ้ใหญ่ ท่านจะทำอะไร?”
ป้าสะใภ้ใหญ่ยัดเงินใส่มืออวี๋หวั่น “เจ้ารับไป! เสี่ยวซงเรียนหนังสือ จะให้เจ้าออกเงินได้อย่างไรกัน? กิจการในโรงงานก็รุ่งเรือง จ่ายให้นักเรียนเพียงคนเดียวไหวอยู่แล้ว”
หากเป็นเมื่อก่อน ป้าสะใภ้ใหญ่คงไม่กล้าแม้แต่จะคิด แต่เมื่อเดือนที่แล้วเพียงเดือนเดียว จากคำสั่งซื้อของหอจุ้ยเซียนเพียงที่เดียว โรงงานของพวกเขาก็ได้เงินมาถึงหนึ่งร้อยตำลึง แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยรู้ว่าบุตรชายเรียนหนังสือได้ ในเมื่อบัดนี้รู้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่
“ป้าสะใภ้ใหญ่อย่าได้กล่าวเหมือนไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน” อวี๋หวั่นดันเงินกลับไป ลูกของเธอมากินอยู่ที่นี่ ไม่ใช่เธอหรอกหรือที่ต้องให้เงินพวกเขา?
ป้าสะใภ้ใหญ่ยืนกรานที่จะให้เงิน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]