หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3] นิยาย บท 14

โจวจิ่นจ้องมองสิ่งชั่วร้ายตัวน้อยตรงหน้าไม่ละสายตา

บัดนี้ในสายตาเขา สิ่งชั่วร้ายตัวน้อยดูเหมือนเด็กสามขวบธรรมดาๆ คนหนึ่ง เพียงแต่มีร่างกายผอมแห้งกว่า ดวงตาที่โตกว่าและผมที่สั้นกว่า แน่นอนว่าไม่ได้สั้นเกินไป เพียงแต่ไม่ยาวพอที่จะมัดให้เรียบร้อย ปล่อยกระเซอะกระเซิงปรกหน้าผากและหู

ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดดูน่ากลัว ทว่าความอบอุ่นในดวงตาสีแดงเลือดคู่นั้นกลับชวนให้รู้สึกว่าค่ำคืนช่างสงบสุข

ความรู้สึกเช่นนี้อธิบายยากสักหน่อย เปรียบได้กับหลังสงครามใหญ่จบสิ้น จู่ๆ ทหารผู้ทำศึกตาแดงคนหนึ่งก็นั่งลงบนพื้นทราย แสงอาทิตย์อัสดงสีเหลืองนวล ปักดาบลงบนพื้นข้างกาย ความสงบเช่นนั้นไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ

สิ่งชั่วร้ายตัวน้อยจ้องมองดวงตาของเด็กน้อย

เผ่าพ่อมดเน้นฝึกคาถาและศาสตร์กู่ ร่างกายจึงมักจะไม่แข็งแรงเพียงพอ เพื่อปกป้องเผ่านี้ให้ดียิ่งขึ้น พวกเขาจำเป็นต้องฝึกกองทัพหลัวช่าให้แข็งแกร่ง ด้านการทำลายล้าง หลัวช่าโลหิตเป็นตัวเลือก ที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย พวกมันไม่เพียงแต่มีวิชาต่อสู้ที่ทรงพลัง แต่พลังการฟื้นฟูก็ยังน่าทึ่ง ตราบใดที่ตันโลหิตไม่ถูกทำลาย ร่างกายก็เป็นอมตะ แต่เหตุผลที่เผ่าพ่อมดไม่ทำเช่นนี้ก็เพราะหลัวช่าโลหิตเป็นสิ่งชั่วร้าย

ตั้งแต่การฝึกฝนไปจนถึงการเลื่อนขั้น หลัวช่าโลหิตจำเป็นต้องดูดซับเลือดจำนวนมหาศาล ผลที่ตามมาคือ พวกเขาสูญเสียความเป็นมนุษย์ไปได้ง่าย และไม่อาจควบคุมยิ่งกว่าซิวหลัวที่กลายเป็นบ้า ดังนั้นเผ่าพ่อมดจึงเลือกหลัวช่าทหารแทน

แน่นอน หลัวช่าทหารก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน แต่ไม่แปลกเท่าหลัวช่าโลหิต

ทว่าสิ่งชั่วร้ายตรงหน้าเขาไม่เหมือนกับสิ่งชั่วร้ายที่โจวจิ่นเข้าใจเลย กล่าวให้ถูกคือ เมื่อครู่ยังเหมือนกัน แต่หลังจากพบกับทารกผู้นี้ สิ่งชั่วร้ายตัวน้อยก็ดูมีความเป็นมนุษย์ขึ้นมา

โจวจิ่นสังเกตดูอย่างละเอียด และแน่ใจว่าไอโลหิตที่จางหายไปไม่ใช่ภาพลวงตาของตน กายภายในของสิ่งชั่วร้ายตัวน้อยตนนี้แผ่ไอปราณเย็นยะเยือกออกมาเบาๆ พัดพาไอโลหิตจนสลายไป หรืออาจจะกดกลับสู่กายภายในแล้ว

ไอปราณเย็นยะเยือกนี้ มิใช่โจวจิ่นไม่รู้จัก เขาเคยสัมผัสมันจากร่างกายของเยี่ยนจิ่วเฉา มันมีชื่อที่ไพเราะว่าวิชาอายุวัฒนะ

หรือว่า…เจ้าสิ่งชั่วร้ายตัวน้อยก็ฝึกวิชาอายุวัฒนะ?

กระบวนท่าเฉพาะของวิชาอายุวัฒนะ โจวจิ่นไม่เคยศึกษา แต่ดูจากพลังทำลายล้างของเยี่ยนจิ่วเฉา วิชาอายุวัฒนะน่าจะสามารถต้านทานสิ่งชั่วร้ายเหล่านี้ได้

ตามหลักแล้ว สิ่งชั่วร้ายไม่มีทางฝึกวิชาอายุวัฒนะและไม่อาจฝึกได้ เว้นแต่ในร่างกายของสิ่งชั่วร้ายนั้นจะมีตันภายในที่สามารถต้านทานวิชาอายุวัฒนะอยู่

ทว่าเมื่อครู่ปล่อยไอโลหิตน่ากลัวเช่นนั้นได้ ทำให้รู้ว่าแท้จริงในร่ายกายของมันเป็นตันโลหิต

“คงมิใช่…เจ้าสิ่งชั่วร้ายตัวน้อยตนนี้มีตันภายในสองดวงกระมัง?”

ดวงหนึ่งคือตันภายในของวิชาอายุวัฒนะ อีกดวงหนึ่งคือตันโลหิตของวิชามารโลหิต

การคาดเดานี้ไร้สาระยิ่งนัก อย่างไรจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่เคยมีผู้ใดมีตันภายในสองดวง นับประสาอะไรกับตันภายในสองดวงที่ต่อต้านกัน ทว่าหากรวมกับคำพูดของทหารเผ่ามารแล้ว โจวจิ่นรู้สึกว่าสมมติฐานนี้อาจเป็นความจริงก็ได้

เหล่าทหารเผ่ามารเรียกมันว่าร่างรวมของเผ่าศักดิ์สิทธิ์และมาร บางทีอาจหมายถึงสิ่งนี้?

แม้ว่าโจวจิ่นอยากเข้าใจความลึกลับของสิ่งชั่วร้ายตัวน้อย ทว่าบัดนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ดีนัก ทหารเผ่ามารสี่คนตายที่นี่ ไม่รู้ว่าเสียงเคลื่อนไหวเมื่อครู่ดังออกไปหรือไม่ ทว่าต่อให้ไม่ดังออกไป หากสหายของทหารทั้งสี่รู้ว่าพวกเขาเกิดเรื่องขึ้นมา ก็ต้องพบว่าพวกเขาหายตัวไปด้วยมิใช่หรือ?

ตัวประกันสำคัญอย่างทั้งสองถูกพวกเขาสี่คนนำเข้ามา เห็นได้ว่าทั้งสี่มิใช่คนเกียจคร้าน ไม่นานวังมารก็คงรู้ว่าพวกเขาหายตัวไป

โจวจิ่นใช้พลังประมุขศักดิ์สิทธิ์ย้ายศพคนทั้งสี่เข้าไปในโลงศพหยกแล้วปิดฝา เอ่ยกับหลัวช่าน้อยว่า “ข้าจะไปแล้ว เจ้าจะไปหรือไม่?”

หลัวช่าน้อยไม่ตอบ แต่มองทารกหญิงตัวน้อยในอ้อมแขนอย่างเชื่อฟัง

โจวจิ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “เจ้ารู้จักนางหรือ?”

หลัวช่าน้อยเรียนรู้คำพูดของเยี่ยนเสี่ยวซื่อ “อูว้าอูว้า”

โจวจิ่น “…”

จู่ๆ โจวจิ่นก็คาดเดาว่า “นางคงไม่ใช่น้องสาวเจ้ากระมัง?”

ไม่เช่นนั้นจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับมันอย่างไร?

หลัวช่าน้อยอ้าปาก “น้อง สาว”

โจวจิ่นตกตะลึง “เป็นน้องสาวของเจ้าจริงๆ ด้วยรึ!”

หลัวช่าน้อยแค่กำลังเป็นนกแก้วเรียนภาษาเท่านั้น แต่โจวจิ่นกลับเข้าใจว่าเขาเป็นพี่ชายของทารกหญิงจริงๆ จะว่าไปข้อสรุปนี้ก็ค่อนข้างน่าเชื่อถือ คนเราจะสามารถกลับเนื้อกลับตัว ก็ยามอยู่ต่อหน้าญาติสนิทของตนมิใช่หรือ

ห่วงใยน้องสาวตนเช่นนี้ ทำให้เห็นว่าความเป็นมนุษย์ของมันก็มิได้หายไปโดยสิ้นเชิง

โจวจิ่นเดินไปหาหลัวช่าน้อย เอื้อมมือออกไปกอดเยี่ยนเสี่ยวซื่อ “เอาละ ส่งน้องสาวมาให้ข้าเถอะ พวกเราต้องไปจากที่นี่ก่อน”

ทันใดนั้นหลัวช่าน้อยก็กลายร่างเป็นถังเล็กๆ พุ่งใส่โจวจิ่น!

ฉากนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป โจวจิ่นไม่ทันตั้งตัว รู้สึกตัวอีกทีจะใช้พลังประมุขศักดิ์สิทธิ์ก็สายไปเสียแล้ว ทำได้เพียงรีบขว้างอาวุธเวทป้องกันตัว มันคือเจดีย์ที่ชาวนิกายศักดิ์สิทธิ์มอบให้เขาไว้

กล่าวว่าหากไม่ใช่ทางเลือกสุดท้ายก็อย่าได้นำออกมาใช้ เพราะมันสามารถป้องกันการโจมตีรุนแรงของผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารได้

แต่แล้ว ของช่วยชีวิตเช่นนี้ก็ถูกพับไว้ในมือของหลัวช่าน้อย

โจวจิ่นไม่คิดว่าหลัวช่าน้อยจะดุร้ายถึงเพียงนี้ แม้เจดีย์จะไม่แตก แต่ก็ถูกชนจนร้าว บางทีเจดีย์เช่นนี้อาจจะใช้ทีหลังได้ แต่ไม่อาจใช้กับยอดฝีมือระดับสูงได้

“ข้า…” โจวจิ่นปวดฟันเหลือเกิน “ข้าแค่กลัวเจ้าอุ้มไม่ไหว เลยจะช่วยเจ้าอุ้มเท่านั้น”

หลัวช่าน้อยอุ้มเยี่ยนเสี่ยวซื่อเหาะไปบนโลงศพหยก ก้มลงมองโจวจิ่นและแยกเขี้ยวใส่อย่างดุร้าย!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]