แพะย่างกรอบนอกนุ่มใน เนื้อแพะชุ่มฉ่ำ ฤดูใบไม้ผลิไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะกินเนื้อแพะ หลังจากสารทฤดู แพะตัวเมียจะมีเนื้อมากขึ้น ชั้นไขมันใต้เนื้อจะหนาขึ้น เมื่อย่างออกมาแล้วจึงจะได้รสชาติที่ดียิ่งยวด
แพะสองตัวนี้ยังไม่นับว่าเป็นแพะที่โตเต็มวัย กระนั้นเมื่อผ่านฝีมือของพ่อครัวเทพเป้าแล้ว ก็ย่อมต้องทำออกมาได้ดีหาผู้ใดเปรียบ
ย่างแพะทั้งตัว ต้องย่างสามครั้ง และกินสามครั้ง
กินครั้งแรกคือต้องกินหนังกรอบสีเหลืองทองด้านนอก โรยด้วยงาขาว หั่นเป็นเส้น จิ้มน้ำจิ้มสูตรลับ เมื่อกัดเข้าไป ทั้งหอมทั้งกรอบ ไขมันละลายติดปลายลิ้น น้ำจิ้มเย็นๆ และหนังแพะร้อนๆ ผสมผสานกันออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม
กลิ่นหอมของงา ระคนกับกลิ่นของมันแพะ หอมหวนเกินบรรยาย
แน่นอนว่าหัวหน้าโจรลักม้ามิใช่คนโง่ เขาให้พ่อครัวเทพเป้าและอวี๋หวั่นชิมอาหารก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มียาพิษ จึงจะแจกจ่ายให้บรรดาพี่น้องกิน
ชาวบ้านต่างนั่งตัวสั่นอยู่ด้านข่าง เมื่อได้กลิ่นหอมของแพะย่าง ได้ยินเสียงกัด ก็ทำเอาน้ำลายสอไปตามๆ กัน
พ่อครัวเทพเป้าหั่นมันแพะอย่างเป็นระเบียบ มันแพะไม่ควรหั่นชิ้นหนาจนเกินไป แต่ควรหั่นให้อยู่บนเนื้อแพะพอดิบพอดี หั่นไขมันแพะนุ่มและมันออกมาทั้งชิ้น อวี๋หวั่นรับหน้าที่จัดการแพะย่างอีกตัวหนึ่ง พ่อครัวเทพเป้าหั่นอย่างไร อวี๋หวั่นก็หั่นอย่างนั้น ไม่นาน มันแพะของทั้งสองตัวก็ถูกหั่นออกมาจนหมด
พ่อครัวเทพเป้านำเนื้อแพะขึ้นไปย่างต่อ
ครั้งนี้ ส่วนที่จะกินก็คือเนื้อแพะนั่นเอง ไฟจะแรงหรืออ่อนเกินไปไม่ได้ หากไฟแรงเกินไป เนื้อจะแข็ง หากไฟอ่อนเกินไป เนื้อจะดิบ พ่อครัวเทพเป้าควบคุมไฟได้อย่างเหมาะสม หลังจากย่างออกมาเนื้อยังคงนุ่มและชุ่มฉ่ำ เนื้อแดงและมันมีปริมาณใกล้เคียงกัน กินกับต้นหอมหนึ่งต้น เจวี่ยนปิ่งอีกหนึ่งแผ่น ไม่ต้องใส่น้ำจิ้มก็ยังอร่อยเป็นที่สุด
“มารดาเถอะ!” หัวหน้าโจรลักม้ากินไม่หยุด
หลังจากหนังชั้นแรก และเนื้อชั้นที่สองหมด ส่วนต่อไปที่จะนำไปย่างเป็นครั้งที่สามก็คือเนื้อติดกระดูก เนื้อส่วนนี้เป็นส่วนที่รสชาติดีที่สุด และเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดสำหรับแพะย่างทั้งตัวเช่นนี้ เนื้อส่วนนี้มีเส้นเอ็น ทำให้มีความหนึบหนับ ทั้งยังมีกลิ่นหอมของกระดูกแพะระคนอยู่ด้วย
“ซู้ด~” เถี่ยตั้นน้อยน้ำลายไหล
หัวหน้าโจรลักม้าหมายจะพาเถี่ยตั้นน้อยไปฝึกเป็นโจรลักม้า เมื่อเห็นว่าเขาอยากกิน จึงกวักมือเรียกเขามา
เถี่ยตั้นน้อยเดินเข้าไปหา
คนสกุลอวี๋ยังมิทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง เมื่อจะหันไปคว้าเขาเอาไว้ ก็พบว่าเถี่ยตั้นน้อยเดินไปอยู่ตรงหน้าหัวหน้าโจรลักม้าแล้ว
“อยากกินรึ?” หัวหน้าโจรลักม้าเอ่ยถาม
เถี่ยตั้นน้อยพยักหน้า
หัวหน้าโจรลักม้าแบ่งเนื้อติดกระดูกให้เถี่ยตั้นน้อย
เถี่ยตั้นน้อยรับจานมาและหันหลังหมายจะเดินไป เขาจะไม่กินคนเดียว
หัวหน้าโจรลักม้าจับเขาเอาไว้ “กินที่นี่แหละ!”
เนื้อนี้มีไว้สำหรับโจรลักม้าตัวน้อย คนอื่นต้องการส่วนแบ่งรึ ไม่มีทาง!
“แต่น้องสาวข้าก็หิวเหมือนกัน” เถี่ยตั้นน้อยสีหน้าเศร้าสร้อย “แม่ข้าก็หิว ลุงใหญ่ข้าก็หิว ป้าสะใภ้ใหญ่กับพี่ใหญ่พี่รองข้าก็…ฮึก…”
หัวหน้าโจรลักม้ายัดเนื้อแพะชิ้นหนึ่งใส่ปากของเขา
เถี่ยตั้นน้อยมีเนื้อแพะเต็มปาก จึงพูดไม่ค่อยชัด “พวกเขาก็…”
หัวหน้าโจรลักม้าไม่ทนอีกต่อไป “ถ้าพูดมาก ข้าจะฆ่าเจ้าทิ้ง!”
เถี่ยตั้นน้อยเงียบลงทันทีอย่างรู้ความ
หัวหน้าโจรลักม้าใช้เท้าเกี่ยวเก้าอี้เล็กๆ แล้วเตะส่งให้เถี่ยตั้นน้อย
เถี่ยตั้นน้อยจับเก้าอี้ตั้งขึ้น เขานั่งลง เคี้ยวเนื้อแพะในปากจนหมดแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ที่จริงแล้ว…”
หัวหน้าโจรลักม้าเงื้อดาบขึ้นมา
เถี่ยตั้นน้อยรีบกลืนคำพูดลงคอไปทันที
เขาเพียงอยากบอกว่า เนื้อแพะอร่อยเหลือเกิน ขออีกสองจานไม่ได้หรือ
เถี่ยตั้นน้อยกอดจานเอาไว้ มือหนึ่งถือเนื้อแพะ กัดเข้าปากคำโต
เถี่ยตั้นน้อยถูก ‘จับ’ ไปแล้ว ลุงใหญ่และป้าสะใภ้ใหญ่รู้สึกกระวนกระวายใจ แม้แต่พวกเขายังร้อนรนเช่นนี้ น้องสะใภ้ย่อมต้องกังวลยิ่งกว่าอีกกระมัง?
ขณะที่ทั้งสองกำลังจะเอ่ยปากปลอบนางเจียง ก็พบว่าสายตาของนางจับจ้องไปยังแพะย่าง ดวงตาเป็นประกาย น้ำลายไหลย้อย
“…”
น้องสะใภ้ ลูกชายเจ้าถูกจับไป รู้หรือไม่…
อวี๋หวั่นมองไปยังเถี่ยตั้นน้อยที่อยู่ไม่ไกลออกไป แล้วก็เหลือบมองพ่อครัวเทพเป้าซึ่งอยู่ด้านข้าง
พ่อครัวเทพเป้าย่อมต้องสังเกตเห็นว่าเถี่ยตั้นน้อยกำลังกินเนื้อแพะอยู่เช่นกัน ทว่าสีหน้าของเขามิได้ผิดแผกไปจากเดิมแม้แต่น้อย ยังคงก้มหน้าก้มตาหั่นเนื้อแพะต่อไป
อวี๋หวั่นหลุบตาลง เธอไม่เชื่อว่าพ่อครัวเทพเป้าจะทำร้ายเถี่ยตั้นน้อย ดังนั้นอาหารเหล่านี้ล้วนแต่ไม่มียาพิษ เขายอมให้โจรลักม้าพวกนี้กินอาหารอย่างอิ่มหนำสำราญจริงๆ หรือ?
หัวหน้าโจรลักม้ากินจนพอใจ เขาหยิบไหสุราขึ้นมา หมายจะลิ้มลองรสชาติ สุราไหนี้ไม่เพียงพอกับคนถึงสามสิบคน เขาจะแบ่งให้กับลูกน้องคนสนิทเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
สุราไหนี้ช่างหอมหวน กลิ่นหอมลอยไปไกลถึงสิบหลี่ กลบกลิ่นหอมของเนื้อแพะย่างไปสิ้น
แพะย่างรสอร่อยล้ำ อาหารจานต่อๆ มาคงมิอาจเทียบได้ แต่เมื่อได้ลองชิมอาหารเหล่านี้แล้ว เหล่าโจรลักม้าก็พบว่าชายชราผู้นี้เป็นพ่อครัวเซียนหรืออย่างไร เหตุใดอาหารที่ทำมาล้วนอร่อยกว่าจานก่อนหน้า?
โจรลักม้าแย่งกันกินเนื้อแพะน้ำแดงจนหมด น้ำแกงปลาและเนื้อแพะก็ไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว อาหารจานเย็นซึ่งทำจากตับ กระเพาะ และขาแพะยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง หมดไปครึ่งหนึ่งตั้งแต่ก่อนจะยกมาตั้งบนโต๊ะ เนื่องจากโจรลักม้าซึ่งยกอาหารมาจัดวางได้ขโมยกินขาแพะไปแล้ว!
พ่อครัวเทพเป้าใส่สมุนไพรลดความร้อนในหม้อไฟสันหลังแพะ กินแล้วเผ็ดร้อนสดชื่น ไม่รู้สึกคอแห้ง
หลังจากได้กินเนื้อกันไปแล้ว ก็ตามติดมาด้วยน้ำแกงหัวใจและปอดต้มกับหัวไช้เท้า กินคู่กับต้นหอมและเต้าหู้เพื่อตัดเลี่ยน บรรดาโจรลักม้าก็รู้สึกว่าพวกตนสุขกายสบายท้อง
โจรลักม้ารู้สึกไม่อยากสังหารชายชราผู้นี้ขึ้นมาจับใจ ฝีมือดีถึงเพียงนี้ ถ้าจับตัวเขากลับไปทำอาหาร พวกเขาก็จะได้กินอย่างมีความสุขทุกวัน
เมื่อคิดว่าหลังจากนี้ก็จะมีอาหารพรั่งพร้อมบริบูรณ์ เหล่าโจรลักม้าก็นั่งไม่ติด อยากจะขี่ม้ากลับขึ้นเขาทันที!
“หัวหน้า!” โจรลักม้าตาเดียวรุดเข้ามา “ปล่อยคนแก่ไว้เถอะ?”
หัวหน้าโจรลักม้าตอบ ‘อืม’ ด้วยความพอใจ “คนแก่ สตรี และเด็กปล่อยไว้ ผู้ชายฆ่าทิ้ง!”
“ทราบ!” โจรลักม้าตาเดียวกวัดแกว่งดาบ เดินตรงเข้าไปหาชาวบ้านซึ่งตัวนั่งคุดคู้ตัวสั่น
ผู้ใหญ่บ้านทำใจดีสู้เสือลุกขึ้นยืน “พวกเจ้า…ชักจะมากแล้วนะ! ใต้อาณัติของโอรสสวรรค์ พวกเจ้ายังกล้าปล้นชิงของชาวบ้าน สร้างความเดือนร้อน ทางการไม่ปล่อยพวกเจ้าไว้แน่!”
โจรลักม้าตาเดียวพูดขึ้นอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “พวกข้ากล้าเป็นโจรลักม้า ไหนเลยจะกลัวทางการ หรือจะให้ข้าฆ่าพวกเจ้าซะ จะได้ไม่มีใครไปแจ้งทางการ?”
สตรีก็ขายให้หอโคมเขียว ส่วนเด็กก็ขายให้พวกโจร คนพวกนี้มีสารพัดวิธีที่จะปิดปากพวกเขา!
ยังมีโจรลักม้าอีกสามคนซึ่งเดินไปพร้อมกับโจรตาเดียว พวกเขาลากผู้ชายออกมา สามีและบุตรชายของป้าไป๋ก็ถูกจับไปเช่นกัน ป้าไป๋จึงถอดรองเท้าขนาด 39 ออก “ข้าจะสู้กับเจ้าเอง!”
ตึง!
ผ่านไปชั่วประเดี๋ยวเดียว หัวหน้าโจรลักม้าก็หัวเราะไม่ออก
“จะจัดการพวกเขาอย่างไรดีล่ะ?” ซวนจื่อถามขึ้น
ผู้ใหญ่บ้านครุ่นคิด จากนั้นก็พูดว่า “รายงานทางการเถอะ”
อวี๋ซงไม่เห็นด้วย “ไม่ได้หรอก เมื่อครู่ใช้ทางการมาขู่พวกเขา พวกเขาไม่กลัวเลยสักนิดเดียว ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะร่วมมือกับทางการไปแล้วก็ได้ ถ้าพวกเขาใช้เงินติดสินบนทางการจะทำอย่างไรเล่า? ถ้าถามข้า ข้าว่าฆ่าพวกเขาไปเลยดีกว่า!”
ซวนจื่อตะลึงไป แล้วพูดว่า “พวกเขาตายไปก็จะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ พวกเราฆ่าพวกเขา ก็ไม่ได้หมายความว่าผิดแบบเดียวกับพวกเขาหรอกหรือ? หากทางการสืบความมาละก็…”
อวี๋ซงพยักหน้า “ถูกของเจ้า งั้นไม่ฆ่า”
หัวหน้าโจรลักม้าใจชื้นขึ้นมาทันที
วินาทีถัดมา ก็ได้ยินอวี๋ซงพูดว่า “ส่งไปบนเขาให้สัตว์กินดีไหม เช่นนี้ก็ไม่ใช่พวกเราที่เป็นคนฆ่าแล้ว!”
หัวหน้าโจรลักม้าประสาทจะกิน!
เจ้าหนู เจ้าดูใสซื่อบริสุทธิ์ ไฉนใจดำถึงเพียงนี้…
จะแบกโจรลักม้าสามสิบคนขึ้นเขาไปนับว่ายุ่งยากมาก โดยเฉพาะเมื่อหมู่บ้านเหลียนฮวาแทบไม่มีชายฉกรรจ์ จะแบกขึ้นไปแบบหนึ่งต่อหนึ่งก็คงไม่เพียงพอ สุดท้ายแล้วก็เป็นอวี๋หวั่นที่คิดวิธีที่เหมาะสมขึ้นมาได้ “ผู้ใหญ่บ้าน พวกเราจะบุกเบิกที่ดินรกร้างปลูกพืชไม่ใช่หรือ? ไม่สู้ให้พวกเขาอยู่ทำงานที่นี่ แบบนี้ก็จะได้ไม่ต้องไปเสียเงินจ้างแรงงานจากข้างนอกด้วย!”
ผู้ใหญ่บ้านขมวดคิ้ว “แต่พวกเขากินเยอะ หากผลผลิตที่ได้ไม่พอให้พวกเขากินจะทำอย่างไร?”
เหล่าโจรลักม้าซึ่งนั่งเงียบมาตลอด “…”
สิ่งที่พวกเจ้าต้องกังวลก็คือ พวกข้าโหดเหี้ยมน่ากลัวถึงเพียงนี้ ตกดึกจะลุกขึ้นมาปาดคอพวกเจ้าหรือไม่มิใช่รึ?
อวี๋หวั่นตอบว่า “ก็ให้พวกเขากินน้อยสักหน่อย ดูพวกเขาแข็งแรงขนาดนี้ ไม่กินก็ไม่ถึงกับหิวตายหรอก!”
เจ้าหนูนั่นจะให้พวกเขาถูกสัตว์ป่ากัดตาย แต่แม่นางน้อยคนนี้จะให้พวกเราทำงานจนหิวตาย เป็นคนแบบไหนกัน? ไฉนเมื่อลองเทียบกันดูแล้ว โหดเหี้ยมยิ่งกว่าโจรลักม้าเสียอีก?!
โจรลักม้าอยากร้องไห้จริงๆ
ปล้นของผู้อื่นจนกลายเป็นเช่นนี้ เรียกได้ว่าชีวิตการเป็นโจรลักม้าของพวกเขาน่าเวทนายิ่งนัก…
สุดท้ายแล้ว พ่อครัวเทพเป้าก็ส่งยาถอนพิษให้อวี๋หวั่น “หนึ่งเดือนใช้เพียงหนึ่งครั้ง หนึ่งครั้งหนึ่งเม็ด ใครไม่เชื่อฟัง ก็ไม่ต้องให้ยาถอนพิษ ปล่อยให้ไส้เน่าตายไปอย่างนั้นแหละ!”
“ตายเร็วไหม?” อวี๋หวั่นถาม
พ่อครัวเทพเป้าตอบว่า “เร็วมาก นับตั้งแต่ไส้เน่าจนตาย ก็ราวๆ สามถึงห้าเดือนกระมัง”
นะ…เน่าไปสามถึงห้าเดือนเชียวรึ?!
บรรดาโจรลักม้าที่เดิมทีคิดว่าจะรอพิษแพร่ไปทั่วร่างและตายอย่างสมเกียรติ บัดนี้กลับยอมแพ้เสียราบคาบ
“พวกข้าจะขึ้นเขา!”
“พวกข้าจะไถที่ดินรกร้าง!”
“พวกข้าจะปลูกพืช!”
“พวกข้าไม่กินข้าว!”
………………………………………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]