แม้แต่พ่อครัวเทพเป้ายังเห็นด้วยกับเรื่องของทั้งสอง ชาวบ้านก็ไม่มีผู้ใดคัดค้านได้
ระหว่างทางกลับไปบ้านเดิม หมู่บ้านนั้นเงียบสงบราวกับว่าทุกสิ่งล้วนหลับใหล
ลมราตรีพัดผ่านใบหน้า นำพาความหนาวเหน็บกัดกินถึงกระดูก
อวี๋หวั่นเดินอยู่กับพ่อครัวเทพเป้า มิได้พูดอะไร
เมื่อเข้าใกล้บ้านเดิม พ่อครัวเทพเป้าก็เอ่ยขึ้นว่า “จะไม่ถามข้าหน่อยหรือว่าเหตุใดให้ของที่มีค่าเช่นนั้นแก่พวกเขา?”
“อ้อ เหตุใดท่านถึงให้ของมีค่าเช่นนั้นแก่พวกเขาล่ะ?” ที่เงียบมาตลอดทาง ทั้งยังโยงเข้าหาเรื่องเศร้าในอดีตอย่างนี้ ที่แท้ก็รอให้เธอถามสินะ อัดอั้นมาตลอดทาง ถ้าทนไปอีกก็คงไม่ไหวละมั้ง
พ่อครัวเทพเป้ากล่าวว่า “เป็นของขวัญแต่งงานใหม่ของย่าเจ้า”
พูดจบ เขาก็ส่งสายตาให้อวี๋หวั่น บอกเป็นนัยว่า ‘เจ้ารีบถามข้าต่อเร็ว!’
อวี๋หวั่นถอดรหัสสายตาของเขาได้ จึงถามต่อว่า “ของแพงขนาดนี้ ท่านยอมให้ไปได้อย่างไร?”
พ่อครัวเทพเป้าแหงนหน้ามองฟ้าพลางทอดถอนหายใจ “ก่อนที่จะแต่งงานกับข้า นางก็เป็นแม่หม้ายมาก่อน”
อวี๋หวั่นตื่นตะลึง ในสมัยที่พ่อครัวเทพเป้ายังหนุ่ม แม่หม้ายที่แต่งงานใหม่ไม่ได้เป็นเรื่องที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในสังคม เขาต้องกล้าหาญมากเท่าไร จึงจะกล้าแต่งงานกับแม่หม้าย
“ครอบครัวข้าไม่เห็นด้วย ครอบครัวนางก็ไม่ยินดีให้นางแต่งงาน ต้องการให้นางมีสามีเพียงคนเดียวไปจนตาย เจ้าคงเคยได้ยินเรื่องซุ้มประตูเกียรติคุณ[1]กระมัง”
อวี๋หวั่นพยักหน้า
“ข้าฟันซุ้มประตูเกียรติคุณทิ้ง”
อวี๋หวั่น “…”
นี่มันท่านประธานเอาแต่ใจภาคโบราณนี่นา!
ก่อนที่ฮูหยินผู้เฒ่าเป้าจะเข้าพิธีแต่งงาน สามีของนางก็ด่วนจากไปอย่างกะทันหัน ตามธรรมเนียมในท้องถิ่น ฮูหยินผู้เฒ่าเป้าก็จำต้องแต่งเข้าไป และเป็นดังคาด นางต้องก้มหน้ารับชะตาซึ่งกำหนดให้นางเป็นแม่หม้ายไปตลอดชีวิต
เป็นบุรุษผู้นี้ที่มาช่วยชีวิตนางเอาไว้
นางเองก็เติมเต็มชีวิตเขา
ถึงบ้านเดิมแล้ว ป้าสะใภ้ใหญ่ออกมาต้อนรับ “ผู้อาวุโส ข้าเก็บกวาดห้องเรียบร้อยแล้ว เถี่ยตั้นก็อยู่ด้านใน วันนี้เขาจะมานอนกับท่าน”
พ่อครัวเทพเป้ามิได้ปฏิเสธ
……
ฟ้ายังไม่สว่าง พ่อครัวเทพเป้าก็ตื่นแล้ว เขามองไปยังเด็กน้อยซึ่งกำลังหลับสบาย สายตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนที่พบเห็นได้ยากยิ่ง
เขาดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวให้เถี่ยตั้นน้อย ค่อยๆ ลงจากเตียงอย่างเงียบเชียบ
คนสกุลอวี๋ยังคงหลับใหล พ่อครัวเทพเป่าไม่ได้ส่งเสียงดังจนพวกเขาตื่น เขาเพียงปลดกลอนประตูแล้วเดินออกไป
เขามองบ้านสกุลอวี๋เป็นครั้งสุดท้าย แล้วเดินกลับไปยังทางเข้าหมู่บ้านด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
ที่น่าประหลาดใจก็คือ เขากลับเห็นอวี๋หวั่นที่ทางเข้าหมู่บ้าน “นางหนู?”
อวี๋หวั่นซึ่งนั่งอยู่บนบ่อน้ำเก่าลุกขึ้นยืน มุมปากของเธอยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “จะไปโดยไม่บอกลาหรือ?”
“เจ้า…” พ่อครัวเทพเป้าพูดไม่ออก ผ่านไปเนิ่นนานเขาก็เอ่ยขึ้นด้วยความผิดหวังว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เจ้ารู้แล้วหรือ?”
อวี๋หวั่นพยักหน้า แล้วกล่าวอย่างไม่รีบร้อนว่า “พ่อข้าไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของท่านใช่ไหม?”
พ่อครัวเทพเป้าสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆ ถามว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร? ”
อวี๋หวั่นตอบว่า “ท่านลืมไปแล้วหรือว่าข้าเคยเข้าไปในห้องหนังสือของท่าน เคยเห็นตัวหนังสือที่ท่านเขียน ข้ายังถามท่านอีกว่าคืออะไร ท่านบอกว่าเป็นชื่อที่ท่านตั้งให้ลูก”
หากช่วงเวลาห่างกันหลายสิบปี ลายมืออาจมีการเปลี่ยนแปลง แต่นี่เพิ่งผ่านไปเพียงไม่เท่าไร หากจะบอกว่าลายมือเปลี่ยนแปลงได้มากถึงเพียงนั้นก็คงจะเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น
พ่อครัวเทพเป้าถอนหายใจ “ข้าไม่รอบคอบเอง…เช่นนั้นทำไมเจ้าถึงไม่เปิดโปงข้าเล่า?”
“กว่าจะเกาะขาพ่อครัวเทพเป้าได้ช่างยากเย็น ข้าจะปล่อยไปได้อย่างไร?” เรื่องจริงก็คือ อวี๋หวั่นเองก็มีความสุขไปกับครอบครัวที่กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง จนลืมคิดถึงเรื่องนั้นไป จนเธอกลับห้องไปในตอนดึก นอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงก็พลันนึกขึ้นได้
ชีวิตยากลำบาก ระหกระเหินมาครึ่งชีวิต ไม่รู้ว่าพบเจอกับความโดดเดี่ยวและการหลอกลวงมามากเพียงใด พ่อครัวเทพเป้าหวังจะมีครอบครัวของตนเอง ครั้นเมื่อเห็นคนสกุลอวี๋ครั้งแรก เขาก็รู้สึกประหนึ่งเมื่อตนเองกลับบ้านไปแล้วยังมีภรรยาอยู่
แม้ว่าจะมีเวลาเพียงวันเดียว แต่เขาก็ยังอยากลิ้มลองว่าการมีครอบครัวนั้นเป็นอย่างไร
จริงอยู่ว่า ด้วยฐานะของเขา ขอเพียงเขายินดี ผู้คนมากมายก็พร้อมจะมาเป็นครอบครัวเดียวกับเขา ทว่ามีเพียงคนสกุลอวี๋ ที่มิได้ต้อนรับเขาเพราะฐานะ แต่ต้อนรับเขาเพราะเขาเป็นส่วนหนึ่งของ ‘ครอบครัว’
อวี๋หวั่นเอ่ยถามว่า “ทำไมท่านไม่ปิดบังไปเรื่อยๆ เล่า?”
ข้าไม่เปิดโปงท่านหรอก
พ่อครัวเทพเป้ายิ้มอย่างขมขื่น มองไปยังเส้นขอบฟ้าไกล “รอเจ้ามีลูกของตัวเอง แล้วเจ้าจะเข้าใจ เรื่องบางเรื่องเจ้าก็วางไม่ลง จนตายก็ยังวางไม่ลง”
ลูก…อวี๋หวั่นรู้สึกปวดใจราวกับถูกอะไรชนเข้า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]