หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3] นิยาย บท 15

“นอกจากนั้นแล้ว” เซียวเจิ้นถิงหยุด สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึมขึ้นทันใด “ที่จวนของเขามีผู้มีความสามารถโดดเด่นเพิ่มมาหลายคน ดูแล้วคงไม่ธรรมดา”

“ผู้มีความสามารถโดดเด่น?” สิ่งแรกที่อวี๋หวั่นคิดก็คือหนอนพิษในร่างของเซียงเหลียน ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยสงสัยเรื่องนี้ ต้าโจวมีปรมาจารย์พิษที่ไหนกัน? เพียงแต่เมื่อคิดว่าเยี่ยนไหวจิ่งตามพวกเขาไปถึงหนานจ้าวได้ ก็ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะเชิญปรมาจารย์พิษมาสักคนสองคน อีกทั้งหนอนพิษสังวาสไม่นับว่าเป็นหนอนพิษระดับสูง เพราะฉะนั้นอวี๋หวั่นจึงไม่ได้ตั้งความหวังกับเจ้านายของมันเท่าไรนัก

เซียวเจิ้นถิงเคยไปหนานจ้าว เคยพบแม้แต่ปรมาจารย์พิษอาวุโส ถึงกับทำให้เซียวเจิ้นถิงเอ่ยปากเรียกว่าผู้มีความสามารถโดดเด่นได้ ย่อมต้องไม่ใช่ยอดฝีมือธรรมดา

หรือว่าเธอประมาทพลังของปรมาจารย์พิษคนนี้เกินไป?

หรือว่า…อีกฝ่ายจะไม่ใช่ปรมาจารย์พิษบริสุทธิ์?

เมื่อพิจารณาจากมุมมองของอวี๋หวั่น เธอไม่เคยคิดว่าเยี่ยนไหวจิ่งและจวนเยี่ยนอ๋องจะหาทางประนีประนอมกันไม่ได้ คนหนึ่งเป็นองค์ชาย อีกคนหนึ่งเป็นอ๋อง เธอเชื่อว่าหากไม่ใช่คนโง่ย่อมมองออกได้ไม่ยากว่าเยี่ยนจิ่วเฉาไม่เคยคิดชิงบัลลังก์ เยี่ยนไหวจิ่งไม่จำเป็นต้องใส่ใจจวนเยี่ยนอ๋องเสียด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้ว่าเยี่ยนไหวจิ่งกินอะไรผิดสำแดง ไม่ยอมเลิกตามราวีเยี่ยนจิ่วเฉาสักที

เป็นเพราะเธอหรือ?

จำเป็นต้องทำขนาดนั้นเลยหรือ?

อันที่จริงอวี๋หวั่นก็ไม่ค่อยเข้าใจความคิดของผู้ชายคนนี้สักเท่าไร

อวี๋หวั่นเดินไปส่งเซียวเจิ้นถิงถึงรถม้า

ก่อนจะไป อวี๋หวั่นถือโอกาสหอมแก้มเจ้าตัวเล็กไปหนึ่งฟอด!

รังเกียจข้าหรือ?

เหอะๆๆ หอมแก้มซะเลย!

ในช่วงบ่ายมีฝนตก ฝนตกอยู่ครู่หนึ่งก็หยุด แต่บนพื้นกลับเฉอะแฉะ โชคดีที่ถนนหนทางในเมืองหลวงนับว่าใช้ได้ ถ้าหากอยู่ในชนบท เกรงว่าล้อรถม้าล้อเกวียนคงติดหล่มโคลนไปเสียแล้ว ทันใดนั้นอวี๋หวั่นก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ เยี่ยนจิ่วเฉาคาดเดาไว้ไม่ใช่หรือว่าวันนี้ฝนจะตก จึงไม่ไปหมู่บ้านเหลียนฮวา ว่าแต่อากาศย่ำแย่ถึงขนาดนี้ หมอนั่นหายไปไหนกัน?

ฮ่าๆ ตอนอยู่ข้างนอกหาออกไปหาเรื่องใครไม่ได้ คงจะเก็บกดน่าดู?

อวี๋หวั่นลอบปาดน้ำตาแทนเหล่าคุณชายในเมืองหลวง

รถม้าของเซียวเจิ้นถิงค่อยๆ เคลื่อนออกไป อวี๋หวั่นรอจนรถม้าเลี้ยวไปตรงหัวมุมถนน จึงหันหลังเดินกลับเข้าเรือน

เรือนของเยี่ยนอ๋องและเรือนของพวกเขาเชื่อมถึงกัน ตรงกลางมีระเบียงทางเดินเล็ก ข้างระเบียงทางเดินมีภาพวาด ว่ากันว่าเป็นฝีมือของเยี่ยนอ๋อง งดงามเป็นที่สุด

อวี๋หวั่นชื่นชมผลงานของเยี่ยนอ๋องอยู่ครู่หนึ่ง ก็เห็นเด็กน้อยทั้งสาม แต่ละคนสองมือถือพู่กัน ละเลงสีลงไปบนผลงานมูลค่ามหาศาล…

“…” อวี๋หวั่นแทบเป็นลม

ขณะที่เยี่ยนจิ่วเฉากำลังเล่นสนุกอยู่ในเมืองหลวงนั้นเอง เยี่ยนไหวจิ่งก็สงบสติอารมณ์ได้ในที่สุด และกลับไปยังจวนของตนเอง

ในมือของเยี่ยนไหวจิ่งมีราชโองการแต่งตั้งให้ตนเป็นรัชทายาท กระนั้นแล้วในใจของเขาเหลือเพียงความอดสู

“จะไม่เข้าไปหรือ?” จวินฉางอันถาม

แน่นอนว่าเขาจะเข้าไป แต่เยี่ยนไหวจิ่งเงยหน้ามองป้ายเหนือศีรษะ เขาลืมว่าตนเองอยู่ที่ไหนอย่างกะทันหัน

“หลังจากนี้ต้องเปลี่ยนป้ายแล้ว” จวินฉางอันมองตามสายตาของเขา

นั่นสินะ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ป้ายจวนจิ้งอ๋องต้องเปลี่ยนเป็นจวนรัชทายาท

เยี่ยนไหวจิ่งกำหมัดแน่น แล้วเดินเข้าจวนไปอย่างปราศจากความดีใจ

หานจิ้งซูเลือกผ้าอยู่ในห้องของเยี่ยนไหวจิ่งอย่างตั้งอกตั้งใจ

ทว่า เยี่ยนไหวจิงกลับมิได้คาดคิดว่านางจะมาปรากฏตัวในห้องของตน จึงชะงักไปชั่วขณะ

ราชวงศ์มีกฎมากมาย แม้ทั้งสองจะเป็นสามีภรรยากัน แต่ก็นับว่าเป็นเจ้านายและขุนนาง ทั้งสองอาศัยอยู่ในเรือนคนละหลัง เยี่ยนไหวจิ่งไปร่วมห้องกับนางบ้างเป็นครั้งคราว บางครั้งนางก็จะมาหาเยี่ยนไหวจิ่ง แต่นั่นคือในยามที่เยี่ยนไหวจิ่งอยู่ในจวน นางรู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่อยู่ แต่กลับเข้ามาในห้องของเขา นั่นนับว่าไม่เคารพกฎในใจของเยี่ยนไหวจิ่ง

กระนั้นเยี่ยนไหวจิ่งก็ไม่ได้พูดอะไร เขาเดินเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าเป็นปกติ “ดึกแล้ว พระชายามาทำอะไรหรือ?”

“ข้าบอกแล้วอย่างไรให้เรียกซูเอ๋อร์” หานจิ้งซูยิ้ม “ยังไม่ดึก ท่านอ๋องยังไม่ได้ทานอาหารเย็นกระมัง? ข้าให้พ่อครัวทำปลากระพงที่ท่านอ๋องชอบ ลวี่เอ้อ ไปบอกห้องครัวให้จัดสำรับ”

“เจ้าค่ะ!” สาวใช้ที่ชื่อลวี่เอ้อคำนับเยี่ยนไหวจิ่งครั้งหนึ่ง แล้วรีบออกจากห้องไป

เยี่ยนไหวจิ่งไม่อยากอาหาร

หานจิ้งซูเหลือบมองจวินฉางอันซึ่งอยู่ด้านนอกประตู ราวกับจำเรื่องที่ถูกเข้าใจผิดก่อนหน้านี้ไม่ได้ จึงไม่ได้ใส่ใจว่าจวินฉางอันจะนำเรื่องนี้ไปฟ้องเยี่ยนไหวจิ่งหรือไม่ สุดท้ายนางก็มองจวินฉางอันด้วยหางตา หันหลังกลับไปรินชาให้เยี่ยนไหวจิ่งด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

จวินฉางอันส่ายหน้า แล้วเดินกลับไปยังเรือนของตน

เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ เขาจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากอกเสื้อ หันหลังมองไปยังประตูห้องซึ่งเปิดกว้างไว้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วสาวเท้าเดินกลับห้องไป

วันนี้หานจิ้งซูอยู่ในห้องของตนเองตลอด จึงไม่รู้ว่าเยี่ยนไหวจิ่งได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นรัชทายาท เพียงแต่มองจากท่าทางของเขาแล้ว นางก็พอจะเดาได้ว่าเมื่อตอนกลางวันเขาเจอกับเรื่องไม่สบอารมณ์ สิ่งที่เขายินดีพูด เขาก็จะพูดออกมาเอง ถ้าหากเขาไม่ยินดีพูด ต่อให้ตนซักถาม เขาก็ไม่มีทางบอก

หานจิ้งซูรู้วิธีเข้าหาเขา จึงไม่มีทางถามสิ่งใดตอนที่เขาไม่อยากพูด นางรอเขาอยู่ในห้อง เพื่อบอกข่าวดีกับเขา

ปรางแก้มของนางแดงระเรื่อ ถ้าหากเยี่ยนไหวจิ่งสังเกตดีๆ ก็จะรู้ว่าหน้าตาของนางนั้นต่างจากปกติ แต่น่าเสียดาย ที่เยี่ยนไหวจิ่งไม่ได้มอง

หานจิ้งซูจำต้องบอกด้วยตนเอง “ท่านอ๋อง ข้า…”

ทันทีที่เอ่ยปาก ลวี่เอ้อก็มา “ระวังด้วย”

บ่าวยกสำรับเข้ามาแล้ว

หานจิ้งซูกระแอม และหยุดพูดในทันใด

บรรดาบ่าวจัดสำรับเสร็จ ก็คอยปรนนิบัติระหว่างที่เจ้านายกินอาหาร

จวนอ๋องมีกฎข้อหนึ่งว่าไว้ เจ้านายห้ามกินอาหารโดยลำพัง

หานจิ้งซูคิดจะให้พวกเขาถอยออกไป แต่เยี่ยนไหวจิ่งหยิบตะเกียบแล้ว ในตอนนั้น บ่าวคนหนึ่งก็เข้ามาคีบปลากระพงให้เขาหนึ่งชิ้น เขาก้มหน้าก้มตากินโดยไม่พูดไม่จา

หานจิ้งซูไม่กล้าพูดอะไรต่อ นางพยายามกดความรู้สึกอึดอัดในใจ และก้มหน้ากินอาหารเย็นจนหมด

ปลากระพงรสชาติไม่เลว ไม่จำเป็นต้องใส่เครื่องปรุงมากนัก เพื่อให้คงรสชาติของเนื้อปลาได้มากที่สุด แต่กลับไม่ได้กลิ่นคาวของปลา แม้ว่าเยี่ยนไหวจิ่งจะไม่มีกะจิตกะใจจะกินอาหาร เขาก็ยังกินไปหลายคำก่อนจะวางตะเกียบลง

ระหว่างที่พวกเขากินอาหาร ในห้องนั้นเงียบสงัด

เมื่อทั้งสองกินเสร็จ บ่าวก็นำถ้วยชามาให้พวกเขาล้างปาก

หานจิ้งซูยกชาขึ้นมาดื่ม จากนั้นก็หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดปากเบาๆ

บ่าวออกไปจากห้องแล้ว เหลือเพียงลวี่เอ้อคอยตามปรนนิบัติ หานจิ้งซูส่งสายตาให้ลวี่เอ้อ ลวี่เอ้อเข้าใจทันที จึงออกไปจากห้อง

ในที่สุดก็ได้พูดสักที

หานจิ้งซูหลุบตาลง กัดริมฝีปาก นางมองไปยังเยี่ยนไหวจิ่งด้วยความกระสับกระส่าย ไหนเลยจะรู้ว่าทันใดนั้นก็มีขันทีมารายงานด้านหน้าประตูว่า “ฝ่าบาท ใต้เท้าซือต้องการพบท่าน”

ใต้เท้าซือคือที่ปรึกษาซึ่งเยี่ยนไหวจิ่งเชิญมาจากที่อื่น หานจิ้งซูเคยเห็นเขาจากระยะไกลครั้งหนึ่ง อีกฝ่ายสวมผ้าคลุมสีดำและหมวกสานสีดำ รอบกายมีจิตสังหารแข็งแกร่งแผ่ซ่านออกมา

คนผู้นั้นให้ความรู้สึกน่าหวาดกลัว ท่าทีที่เขามีต่อนางยังเย่อหยิ่ง เขาเห็นนาง แต่กลับไม่เข้ามาคำนับ แม้แต่คำทักทายยังไม่มี หานจิ้งซูรู้สึกว่าตนถูกเหยียดหยาม นางไม่ชอบเขาเอาเสียเลย

แต่เขาเป็นผู้ช่วยที่เยี่ยนไหวจิ่งเชิญมา นางไม่อยากตัดสินใครง่ายๆ และนางก็บอกเรื่องนี้กับบิดาไปแล้ว เขาพูดเพียงว่านางคิดมากเกินไป เหล่าผู้มีฝีมือซึ่งมาจากสามัญชนทั่วไปมักจะไม่เข้าใจขนบธรรมเนียมของราชวงศ์ อีกฝ่ายอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางเป็นนายหญิงของจวนแห่งนี้

และตอนนี้ เจ้าผู้ช่วยแซ่ซือก็มาเรียกสามีของนางไปแล้ว ในใจของหานจิ้งซูนั้น…

หานจิ้งซูขมวดคิ้วด้วยความเศร้าสร้อย นางยกมือขึ้น จับไปที่ท้องของตน

……

เด็กทั้งสามทำให้อวี๋หวั่นหัวเสีย นิสัยแบบนี้ได้มาจากใครกัน? ทำไมทำตัวน่าโมโหขนาดนี้ ทำของเสียหายเละเทะไปหมด

“แม่เคยบอกพวกเจ้าแล้วใช่ไหม ว่าอย่าวาดรูปเล่นมั่วซั่ว?” อวี๋หวั่นพูดกับเด็กทั้งสามด้วยสีหน้าจริงจัง

ดวงตาบ้องแบ๊วของเด็กทั้งสามมองหน้าเธอ แล้วพยักหน้าหงึกๆ

ท่าทางของพวกเขาแลดูเชื่อฟังใช้ได้ ทำให้สีหน้าของอวี๋หวั่นดีขึ้นเล็กน้อย เธอจึงบอกว่า “ห้ามวาดรูปบนหนังสือกับกำแพงอีกรู้ไหม?”

เด็กทั้งสามพยักหน้า

อวี๋หวั่นเตือนพวกเขาอีกครั้งว่า “ถ้าพวกเจ้าวาดรูปเล่นมั่วซั่วอีก แม่จะตีก้นแล้วนะ รู้ไหม?”

ทั้งสามพยักหน้าหงึกๆๆ

อวี๋หวั่นจึงเดินเข้าไปลูบศีรษะน้อยๆ ของพวกเขา แล้วลุกขึ้นเดินไปสั่งอาหารเย็นในห้องครัว ทันทีที่เธอเดินออกไป เด็กทั้งสามก็หยิบพู่กันออกมา แสดงฝีมือการวาดรูปลงบนพื้นซึ่งทำจากไม้กระดานทันที

ท่านแม่แค่บอกว่าห้ามวาดรูปลงบนหนังสือกับกำแพงไม่ใช่หรือ? ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าห้ามวาดลงบนพื้น

พวกเขาเป็นเด็กดี เชื่อฟังท่านแม่นะ!

เมื่ออวี๋หวั่นเดินกลับมาจากห้องครัว ก็เห็นภาพวาดขยุกขยุยเต็มพื้น เธอรู้สึกราวอยากจะล้มลงไปคลอดลูกตรงนั้นให้รู้แล้วรู้รอด!!!

…………………………

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]